ธนาคารไทยเครดิต เดินหน้าแผน IPO เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ล่าสุด ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งไฟลิ่ง เพื่อ IPO แล้ว
วิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจำนวนหุ้นที่คาดว่าจะเสนอขายทั้งหมด (รวมหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายโดยธนาคารฯ และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม) ไม่เกิน 347,029,122 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 28.2% ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนและชำระแล้วทั้งหมดของธนาคารฯ ภายหลังการทำ IPO
ทั้งนี้ นับเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เสนอขายหุ้น IPO ในรอบ 10 ปี โดยมี ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และจะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดกลุ่มธุรกิจการเงิน / ธนาคาร ตามแผน IPO
ด้านธุรกิจของธนาคารไทยเครดิต จะมุ่งเน้นสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อรายย่อย (Nano and Micro Finance) และสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) แก่ฐานลูกค้าในไทยที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน ซึ่งกลุ่มลูกค้าดังกล่าวถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย
- สินเชื่อสำหรับสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี
- สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย
- สินเชื่อบ้าน
- สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล
- สินเชื่อรายย่อยอื่นๆ
สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคารฯ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ รวมทั้ง นำไปใช้ปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล (Digital Transformation) และโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Security and Infrastructure)
ทั้งนี้ ธนาคารไทยเครดิต ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้ารายย่อยมามากว่า 10 ปี ขณะที่มีการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยด้านสินเชื่อมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563 – 2565 ที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม 33.0% ต่อปี
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวด 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563 – 2565) และ ณ งวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2566 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ ได้แก่
- ปี 2563 จำนวน 68,562.4 ล้านบาท
- ปี 2564 จำนวน 97,728.7 ล้านบาท
- ปี 2565 จำนวน 121,298.0 ล้านบาท
- งวด 6 เดือน ปี 2566 (สิ้นสุด ณ 30 มิ.ย. 2566) จำนวน 132,758.1 ล้านบาท
โดยมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยสะสมต่อปีระหว่าง 2563-2565 (Compound Annual Growth Rate: CAGR) อยู่ที่ 33.0% ต่อปี
ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2566
- ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,830.7 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565 30.9% ต่อปี
- ธนาคารฯ มีสาขา 527 แห่งทั่วไทย
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดําเนินงานต่อรายได้รวม (Cost-to-Income Ratio) อยู่ที่ 36.0%
ที่มา ธนาคารไทยเครดิต
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา