หมดยุคทุกสาขาหน้าตาเหมือนกัน Swensen’s บอกคนไทยต้องการ ‘ความต่าง’ ลุยเปิดอีกสาขาในเชียงใหม่ หน้าตาเหมือน ‘ร่มบ่อสร้าง’

ถ้าพูดถึง ‘ไอติม’ ต่อด้วย ‘นั่งกินในร้าน’ แบรนด์แรกที่คนไทยจะนึกถึงก็ต้องเป็น Swensen’s อยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เพราะเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมานานหลายสิบปี แต่ Swensen’s ยังเป็นแบรนด์ที่มีสาขามากกว่า 350 สาขาทั่วประเทศไทย

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน แบรนด์ก็ต้องปรับ Swensen’s เป็นอีกแบรนด์ที่ปรับตัวอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถเป็นร้านไอศกรีมของคนไทยทุกเพศทุกวัยได้ Brand Inside มีโอกาสได้คุยกับ ‘ณพล ศิริมงคลเกษม’ หัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ บริษัท สเวนเซ่นส์ (ไทย) จำกัด ในเครือ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จึงสรุปมุมมองของผู้บริหาร Swensen’s ในไทยมาให้ทุกคนอ่านกัน

หมดยุคทุกสาขาเหมือนกัน เพราะคนไทยยุคนี้ต้องการ ‘ความต่าง’

ผู้บริหารของ Swensen’s อธิบายว่า โลกยุคใหม่ลูกค้าใจร้อนขึ้น แต่ละแบรนด์จึงต้องทำงานเร็วขึ้น พัฒนาโปรดักส์ให้ไวขึ้น เพื่อนำไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า โดยเฉพาะ ‘ของหวาน’ ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอยู่ตลอดเวลา อย่าง Swensen’s ก็ต้องพัฒนาโปรดักส์ใหม่ๆ มากถึงเป็นร้อยโปรดักส์ต่อปี เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ออกมาให้กับลูกค้า

ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าต่างมีความต้องการต่างกัน ไม่สามารถใช้ “One Size Fit All” ได้อีกต่อไป ทุกสาขาของ Swensen’s เองก็ต้องต่างกัน ไม่สามารถ copy แล้วไป paste ออกมาเหมือนกันทั้งหมดได้อีก

ขณะเดียวกัน Swensen’s กลับเป็น “แบรนด์สำหรับทุกคน” เพราะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะตอบโจทย์ทุกคน ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น เฟิร์สจ๊อบเบอร์ คนทำงาน ไปจนถึงเหล่าผู้สูงวัย 

ทำให้ในยุคที่แบรนด์ต่างปรับตัว เลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และไม่ทำแบรนด์สำหรับทุกคนแล้ว Swensen’s ก็ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในการรักษาลูกค้าทุกกลุ่ม โดยไม่ลืมใครไว้ข้างหลัง นั่นจึงเป็นเหตุให้ Swensen’s อาจไม่ได้นำเทรนด์ที่สุด แต่ก็ไม่ล้าสมัย เรียกว่า “ร่วมสมัยและผูกพัน” กับผู้คนเสมอ

เริ่มต้นจากแนวคิด จะทำ Swensen’s ยังไง ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้

เมื่อรวมเข้ากับการแข่งขันในตลาดขนมหวานและไอศกรีนที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นเหตุให้หลายปีก่อน Swensen’s ประเทศไทยตัดสินใจเปิดตัวโมเดลใหม่อย่าง Regional Flagship Store เพราะต้องการให้ Swensen’s สามารถเป็น Destination หรือเป็น ‘แหล่งท่องเที่ยว’ ที่คนไทยและนักท่องเที่ยวปักหมุด อยากเดินทางมาให้ถึง

เพราะสำหรับคนไทย แถวบ้านของทุกคนก็ล้วนมี Swensen’s กันอยู่แล้ว จึงยากที่จะแวะกิน Swensen’s ระหว่างท่องเที่ยวด้วย Swensen’s จึงปลุกปั้นโมเดล Flagship Store ออกมา เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ด้วย

การเกิดขึ้นของ Regional Flagship Store จึงเป็นการยกระดับแบรนด์ไปอีกขั้น ทั้งช่วยสร้างให้ Swensen’s เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดยอดขายเข้ามาเพิ่มได้แล้ว ยังช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ เพราะ Swensen’s ได้นำเอาอัตลักษณ์ของจังหวัดมาโปรโมท

โดยที่ผ่านมา Flagship Store ของ Swensen’s ทั้ง 6 สาขาล้วนมียอดขายสูงกว่า Swensen’s สาขาอื่นๆ ในจังหวัด

นอกจากนั้น ทุกการเปิดตัว Flagship Store ยังมีผลทางด้านการตลาดอย่างการทำให้แบรนด์กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ด้วย จึงไม่แปลกที่ Swensen’s จะเพิ่มจำนวน Regional Flagship Store อย่างรวดเร็วและเดินทางมาถึงสาขาที่ 7 แล้วในเวลานี้

‘เชียงใหม่’ ศักยภาพสูง-คาแรคเตอร์ชัด

ล่าสุด Swensen’s ได้เปิดให้บริการ Regional Flagship Store แห่งใหม่ใน ‘เชียงใหม่’ มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ตะโกนออกมาเลยว่า “ร่มบ่อสร้าง!” ทั้งด้านนอกและด้านใน 

เรียกว่าดึงเอาเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของเชียงใหม่มาผสานกับความเป็น Swensen’s ได้อย่างลงตัว แถมมาพร้อมกับเมนูพิเศษอย่าง ‘ขันโตก ซันเด เซต’ เมนูไอติมที่เสิร์ฟมาในขันโตกที่มาพร้อม ไอศกรีมกะทิสด 3 ลูก ข้าวเหนียวใบเตยหอม แคบหมูเคลือบช็อกโกแลต และไวท์ครีมซอสสูตรพิเศษ

โดยสาขานี้เป็น Regional Flagship Store แห่งที่สองของภาคเหนือต่อจากสาขาที่น่าน ใช้เวลาปั้นคอนเซปต์และก่อสร้างกว่า 1 ปี กว่าจะออกมาเป็นสาขาแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใน META MALL เชียงใหม่แห่งนี้ 

‘ณพล’ บอกว่า สาเหตุที่ Swensen’s เลือกเชียงใหม่ เพราะเป็นจังหวัดที่มี Swensen’s มากกว่า 10 สาขาเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพสูงและมีคาแรคเตอร์ชัดเจน 

Swensen’s ในไทย ใหญ่ที่สุดในโลก

ปัจจุบัน Swensen’s มีสาขา 352 สาขาในประเทศไทย เรียกว่าเป็นประเทศที่ Swensen’s ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากนำแบรนด์เข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 39 ปีก่อน

โดยผู้บริหารอธิบายเหตุผลที่ทำให้ Swensen’s ประเทศไทยใหญ่ที่สุดในโลกว่าเป็นเพราะ “เราไม่เคยหยุด ไม่ว่าจะผ่านวิกฤตอะไรก็ตาม ตั้งแต่น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว เราก็ไม่หยุด เราทำทุกอย่างเพื่อพาแบรนด์ไปข้างหน้า และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

อย่างในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะที่ทุกคนทราบดีแบบนี้ตอนนี้ Swensen’s ก็ต้องพร้อมจะตอบโจทย์ลูกค้า ถ้าลูกค้าต้องการสินค้าที่ value for money หรือ “คุ้มค่า” 

จึงเป็นที่มาของการนำเสนอเมนูราคาสุดคุ้มอย่าง My God Sundae ที่ให้ไอศกรีม พร้อมท็อปปิ้งแบบเน้นๆ ทั้งโคน วิปครีม ท็อปปิ้ง แฟนเวเฟอร์ในราคาแค่ 69 บาท ถือเป็นการนำเสนอทางเลือกให้กับลูกค้าของแบรนด์ที่ปกติแล้วมียอดจ่ายเฉลี่ยต่อบิลราว 300 บาท

เป้าหมายของ Swensen’s หลังจากนี้คือ การขยายสาขาต่อเนื่องปีละ 10-15 สาขาตามห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์เปิดใหม่ทั่วประเทศ เพราะสามารถการันตีทราฟิกเบื้องต้นได้แน่นอน 

ขณะที่ Regional Flagship Store ปักหมุดไว้ที่ปีละ 1 สาขา เพราะต้องใช้เวลาในการเฟ้นหาพื้นที่และผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะออกมาเป็น Swensen’s Flagship Store แต่ละสาขาได้ โดยคาดจบปี 2568 นี้แบรนด์จะมีสาขารวม 360 สาขา

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา