แนวโน้มสตาร์ตอัพเทคโนโลยีมาแรงปี 2017 จากสายตา VC ชื่อดังของโลก

เว็บไซต์ VentureBeat สัมภาษณ์นักลงทุน Venture Capital (VC) ระดับท็อปของ Silicon Valley เพื่อขอทราบแนวโน้มสิ่งที่ “น่าจะมา” ในปี 2017 ในสายตาของคนที่คลุกคลีอยู่กับสตาร์ตอัพสายเทคโนโลยีที่สุด

นักลงทุนที่ให้ข้อมูลได้แก่

  • M.G. Siegler จาก GV (เดิมคือ Google Ventures)
  • Jerry Chen จาก Greylock Partners
  • Alex Rampell จาก Andreessen Horowitz
  • Ravi Viswanathan จาก New Enterprise Associates (NEA)
ภาพประกอบจาก Pexels

เทรนด์เด่นสตาร์ตอัพสายเทคโนโลยีปี 2017

AI และ machine learning จะยังเป็นเทร็นด์ที่มาแรงในปี 2017 ถ้ามองให้เจาะจงเข้าไปอีก

  • บริการ AI ผู้ช่วยส่วนตัวที่สั่งงานด้วยเสียงพูดจะมาแรงมาก จากการแข่งขันระหว่าง Amazon Echo, Google Home และอุปกรณ์ลักษณะเดียวกันตัวอื่นๆ
  • ตลาด AI สำหรับองค์กร enterprise อย่างการนำ AI มาช่วยในระบบ CRM ขององค์กร หรือตลาดซอฟต์แวร์เฉพาะอุตสาหกรรม จะไปได้ดี

ตลาดอื่นที่น่าสนใจคือ FinTech ที่มีโอกาสหลากหลาย ทั้งด้านการธนาคาร ประกันภัย การลงทุน ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีจะสามารถ disrupt ผู้เล่นรายเดิมๆ ได้

VC มองหาโอกาสลงทุนด้านใดบ้างในปี 2017

ตลาดเทคโนโลยีที่ใกล้ชิดกับคอนซูเมอร์จะแผ่วลง ดังที่เป็นมาในช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะยังไม่มีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นมาแบบเดียวกับแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนเมื่อหลายปีก่อน

ตลาดรถยนต์ไร้คนขับเป็นตลาดที่มีศักยภาพให้โตอีกมาก และต้องใช้เทคโนโลยีหลายด้าน ทั้ง computer vision, sensor, เทคโนโลยีด้านแผนที่และการขับเคลื่อนยานพาหนะ บริษัทที่ทำเทคโนโลยีเหล่านี้ก็มีโอกาสได้รับเงินลงทุนสูง

ธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัย (security) ยังไปได้ดีและจะได้รับความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจเฉพาะทาง (vertical) อย่างตลาดสุขภาพและค้าปลีก ก็จะมีบริษัทหน้าใหม่ที่สร้างซอฟต์แวร์มาเพื่อเจาะธุรกิจเหล่านี้เช่นกัน

Silicon Valley จะยังเป็นพื้นที่หลักที่ VC ให้ความสำคัญ แต่ก็เริ่มขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกา และนอกสหรัฐอเมริกา

ฟองสบู่สตาร์ตอัพจะแตกในปี 2017 หรือไม่

VC ทั้งหมดมองว่า “ฟองสบู่สตาร์ตอัพ” พูดกันมานานแล้วยังไม่เกิดขึ้นจริง VC บางรายมองว่าโอกาสที่เราจะเห็นการ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2017 น่าจะมากกว่าปี 2016 ขึ้นมาบ้าง ในขณะที่ VC บางรายมองว่าจำนวนการ IPO น่าจะเท่าๆ กับในปี 2016

แต่ภาพรวมแล้ว ตลาดจะระมัดระวังมากขึ้น และมูลค่าของบริษัทก็จะไม่โอเวอร์เกินเหมือนที่แล้วมา นักลงทุนจะไม่อดทนกับบริษัทที่มี burn rate หรืออัตราการใช้จ่ายสูง และไม่ได้ให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโต (growth) เพียงอย่างเดียว

ที่มา – VentureBeat

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา