‘สมูทอี’ อยู่คู่คนไทยมาแล้ว 32 ปีก็จริง แต่อยากมีพื้นที่ในใจคนรุ่นใหม่ เลยลุยทำสินค้ากลุ่ม ‘สิว’ เห็นผลไว ดีต่อผิวระยะยาว

เวลาพูดถึง ‘สมูทอี’ (Smooth E) สิ่งแรกที่เราคิดถึงย่อมเป็น ‘โฟมไม่มีฟอง’ แท็กไลน์หลักของสินค้าขายดีตลอดกาลของแบรนด์ ตามมาด้วยภาพของสกินแคร์ที่อยู่เคียงข้างวัยรุ่นไทยมาเสมอ แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าที่ผ่านมา ‘สมูทอี’ ไม่ได้มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ‘สิว’ มากอย่างที่หลายคนคิด

เมื่อธุรกิจเดินทางมาถึงปีที่ 32 พร้อมๆ กับสังคมไทยที่ผลัดเปลี่ยนเข้าสู่รุ่นใหม่ ‘สมูทอี’ จึงคิดว่าอาจถึงเวลาต้องปรับเข้าหาคนรุ่นใหม่ ทำให้แบรนด์เข้าถึงคนรุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะคน Gen Z ที่อำนาจในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นตลอดเวลาและจะเป็นหนึ่งในเจนที่มีพลังอำนาจในการใช้จ่ายมากที่สุดในอนาคต

เมื่อตัดสินใจว่าจะลุยเข้าสู่ตลาดคนรุ่นใหม่ ‘สมูทอี’ จึงได้ย้อนกลับไปสำรวจจุดแข็งของแบรนด์และความต้องการของคน Gen Z โดย ‘ธนชัย ชัยกิตติวนิช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมูทอี บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เล่าว่า จากการศึกษาพฤติกรรมของคน Gen Z มักจะโฟกัสการเห็นผลเร็ว มีประสิทธิภาพดี แต่อ่อนโยนและดีต่อผิวระยะยาว

จึงนำมาสู่การพัฒนาสินค้าใน ‘กลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาสิว’ (Smooth E Acne) เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย พัฒนานวัตกรรมการรักษาผิวและฟื้นฟูสภาพผิวให้มีประสิทธิภาพในการช่วยแก้ปัญหาสิวอย่างครบวงจร พร้อมออกสินค้าอย่างกันแดดไร้สารเคมีที่สามารถคุมมัน กันสิว 12 ชั่วโมง

เน้นจุดขายเป็นเวชสำอาง (Medical Skincare) ที่มีความน่าเชื่อถือจากการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นสกินแคร์พรีเมียมที่เน้นดูแลผิวให้มีสุขภาพดีในระยะยาว ราคาจับต้องได้ สอดคล้องกับมุมมองของผู้บริโภคที่ ‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เล่าว่า สมูทอีค้นพบว่าลูกค้ากว่า 20% จะคิดถึงและกลับมาใช้สมูทอีทุกครั้งเวลาที่เกิดอาการแพ้ จึงทำให้สมูทอีเชื่อว่าแบรนด์มีจุดแข็งด้านความปลอดภัยและความไว้ใจในหัวใจลูกค้าเสมอ

โดยสมูทอีจะทุ่มงบการตลาดกว่า 200 ล้านบาทในการโปรโมทสินค้ากลุ่มนี้ ทั้งเปิดตัวพรีเซนเตอร์อย่าง ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์ สะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ที่ทันสมัยเข้าใจเทรนด์และเข้าถึงได้ รวมทั้งปรับ Brand Communication เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทั้ง Offline และ Online เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่

โดยในช่วงครึ่งปีแรก ภาพรวมสมูทอีเติบโตแบบดับเบิลดิจิท (Double-Digit) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่โตวันดิจิต (One Digit) โดยแบ่งสัดส่วนการเติบโตเป็นกลุ่มโฟมล้างหน้า และ Smooth E Acne โต 15% ส่วนของ Smooth E Sun care โต 10%

สำหรับทิศทางครึ่งปีหลัง ‘ธนชัย ชัยกิตติวนิช’ อธิบายว่า แผนการรุกตลาดของผลิตภัณฑ์สมูทอี นับจากนี้จะให้ความสำคัญใน 3 มิติ ได้แก่

  • สร้างความแข็งแกร่งให้กลุ่มสินค้าหลัก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์โฟมล้างหน้าและครีมบำรุง ผ่านการรีลอนช์ผลิตภัณฑ์ด้วยรูปโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ อาทิ Smooth E Cream ครีมลดรอยแผลเป็น ริ้วรอย จุดด่างดำจากสิว
  • บูมเทรนด์อ่อนเยาว์กว่าวัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกเซกเมนต์ รวมถึงบุกตลาด GEN Z ที่เข้มข้นขึ้น โดยยังคงยึดโพรดักต์ในกลุ่ม Smooth E Acne เป็นหัวหอกต่อเนื่องตลอดปี
  • ตอกย้ำภาพลักษณ์ในด้านความเชี่ยวชาญดูแลผิวอย่างจริงจัง อาทิ กลุ่ม Anti-Aging หรือ เวชศาสตร์ชะลอวัย มีการพัฒนานวัตกรรมส่วนผสมของ PEPTIDE (เปปไทด์) เติมเต็มริ้วรอยร่องลึกจากภายใน โดดเด่นต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ในท้องตลาดที่มีส่วนผสมของเรตินอล ช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวในกลุ่มผิวแพ้ง่าย โดยตั้งเป้าปี 2567 กวาดรายได้ 1,000 ล้านบาท

รู้หรือไม่ว่า ‘Smooth E’ แบรนด์สกินแคร์ชื่อดังที่อยู่คู่กับคนไทยมานานมากๆ นี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘ร้านขายยา’ เล็กๆ ขนาดหน้าร้านไม่กี่เมตรที่ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่สยามสแควร์ ก่อนร้านขายยาจะถูกเรียกคืนพื้นที่ ทำให้ ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ผู้ก่อตั้งตัดสินใจมองหาธุรกิจใหม่ นำมาสู่การก่อตั้ง Smooth E และ Dentiste

ข่าวเกี่ยวข้อง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา