ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ธุรกิจจะกล้าตั้งเป้าหมายเติบโตแบบก้าวกระโดด และตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวของ บมจ.สิงห์ เอสเตท ในเวลา 3 ปี ยิ่งในช่วงเวลาวิกฤตโควิดแบบนี้ การวางแผนและกลยุทธ์ คือหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด
บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) ผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของไทย ประกาศแผนอย่างชัดเจน ที่จะขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแกนหลักแต่เดิม สู่ธุรกิจโครงการนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ ของ สิงห์ เอสเตท บอกว่า บริษัทได้เปลี่ยนผ่านจากการเป็นบริษัทของครอบครัวที่บริหารจัดการสินทรัพย์และดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล มาสู่การเป็นบริษัทมหาชน บริหารงานแบบมืออาชีพ มีธุรกิจที่หลากหลายกระจายอยู่ในหลายภูมิภาค และมองหาโอกาสการเติบโตไปทั่วโลก
วางเป้า 3 ปี กับรายได้โตขึ้น 3 เท่า
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ สิงห์ เอสเตท บอกว่า การตั้งเป้ารายได้ 3 เท่าตัว ให้กลายเป็น 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปีจากนี้ และสร้างมูลค่าสินทรัพย์ให้เพิ่มจาก 65,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 เป็นเรื่องที่ท้าทาย และเป็นไปได้
สิงห์ เอสเตท จะผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม ที่พักอาศัย อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าและบริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องเข้าด้วยกัน สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
เปิดธุรกิจที่ 4 ผลิตกระแสไฟฟ้าและบริการด้านวิศวกรรมและนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
การวางโครงสร้าง 4 กลุ่มธุรกิจ คือ การตัดสินใจที่ถูกต้อง เพื่อให้บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาทั้งในไทยและทั่วโลก โดยปี 2563 ที่ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจ คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม ทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 96% ของรายได้ทั้งหมด
การรุกเข้าสู่กลุ่มธุรกิจที่ 4 จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแกนหลักมาแต่เดิม และจะสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และสร้างความโดดเด่นที่แตกต่าง คือ เพิ่มโอกาสในธุรกิจใหม่ มีประสิทธิภาพในการแข่งขัน และทำให้บริษัทมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นจากการมีธุรกิจที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน แต่มีวงจรทางธุรกิจที่แตกต่างกัน และความเสี่ยงไม่เหมือนกัน
“ด้วยความแข็งแกร่งทางการเงินจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.96 เท่า ประกอบกับการมีเครดิตดี สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 25,000 ล้านบาท ทำให้เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเดินหน้ากลุ่มธุรกิจที่ 4”
ฐิติมา เปิดเผยว่า สิงห์ เอสเตท กำลังศึกษาแนวคิดและวิธีใหม่ๆ ระดับโลก นำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของสิงห์ เอสเตท ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร สร้างรายได้ประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563 อีกทั้งยังมีโรงแรมและรีสอร์ต 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ซึ่งมีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สร้างรายได้ประมาณ 24% ของรายได้ทั้งหมด และมีโครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี The ESSE และแบรนด์อื่นๆ ซึ่งสร้างรายได้ ประมาณ 57% ของรายได้ทั้งหมด
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา