สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์: ไทยล็อกดาวน์เข้มข้นได้ ถ้ารัฐเยียวยาประชาชน-สื่อสารชัดเจนไม่สับสน

สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ ให้ความเห็นว่าการล็อกดาวน์เข้มข้นช่วยลดการระบาดได้ แต่รัฐบาลจำเป็นต้องเยียวยาประชาชน และต้องสื่อสารอย่างชัดเจนไม่สร้างความสับสนจนประชาชนลำบาก

sasin lockdown thailand

คณาจารย์จาก สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุในบทความถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาจนปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อต่อวันเกิน 1 หมื่นคน และมีผู้เสียชีวิตต่อวันเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายใน 1 สัปดาห์ ว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่แท้จริง โดยมีการเสนอแนวทางในการกำหนดนโยบายว่าให้กับรัฐว่า การล็อกดาวน์เข้มข้นและเข้มงวดสามารถทำได้ภายใต้ 2 เงื่อนไข คือ

  • มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนชัดเจน
  • มีการสื่อสารต่อสาธารณชนที่ชัดเจนไม่สร้างความสับสน

ล็อกดาวน์เข้มข้นดีกว่า จากการศึกษาของ IMF

บทความระบุว่าหลายประเทศในโลกเลือกใช้มาตรการล็อกดาวน์อ่อนๆ เพราะไม่อยากสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่บอบช้ำเป็นทุนเดิมและไม่อยากให้ประชาชนได้รับความยากลำบาก แต่ การศึกษาของ IMF แสดงให้เห็นว่าการล็อกดาวน์เข้มงวดดีกว่าการล็อกดาวน์แบบอ่อนๆ ทั้งในแง่ของการควบคุมการระบาดและเศรษฐกิจ เพราะหากให้เทียบกัน การล็อกดาวน์เบาๆ จะทำให้ระดับผู้ติดเชื้อยังคงสูงส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจถูกชะลอ 

แต่การล็อกดาวน์เข้มงวดทำให้การติดเชื้อลดลงอย่างรวดเร็วทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวดีกว่าในขณะที่มีต้นทุนทางเศรษฐกิจในการบังคับใช้นโยบายที่สูงกว่าเพียงเล็กน้อย 

Bangkok MRT COVID-19 Social Distancing รถไฟฟ้าใต้ดิน
ภาพจาก Shutterstock

แน่นอนว่ารัฐจำเป็นต้องออกมาตรการเยียวยาเพื่อให้ประชาชนอยู่ได้ภายใต้สภาวะล็อกดาวน์ ที่สำคัญต้องสื่อสารอย่างชัดเจนว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ไม่สร้างความสับสนในการเอาชีวิตรอดให้ประชาชนภายใต้สถานการณ์ที่บีบคั้นชีวิตประชาชนอยู่แทบทุกวินาที

ถ้าจะล็อกดาวน์ ต้องเยียวยาเต็มที่

สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ กล่าวชัดว่า ก่อนที่จะมีการประกาศล็อกดาวน์ รัฐต้องมีมาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน เพื่อให้การล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพสูงสุด ประชาชนปฏิบัติตามได้และพร้อมให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการในด้านสภาพคล่องของประชาชน รวมทั้งผู้ประกอบการทั้งเล็กและใหญ่ 

นี่คือตัวอย่างมาตรการทางเศรษฐกิจและทำในหลายๆประเทศ อาทิ ประเทศเยอรมนี ประเทศออสเตรเลีย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศฝรั่งเศส

  • ช่วยผู้ประกอบที่ได้รับผลกระทบจ่ายค่าแรงลูกจ้างในอัตราที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอดและไม่ต้องให้พนักงานออก 
  • เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการทุกขนาดที่ธุรกิจได้รับผลกระทบ เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการบิน และธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ
  • เสริมสภาพคล่องให้ประชาชนในด้านปัจจัย 4 
  • มาตรการพักหนี้โดยไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่มสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ
  • พักชำระการจ่ายภาษีของประชาชนและผู้ประกอบการและเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นประชาชนและผู้ประกอบการสามารถจ่ายภาษีของปีที่ผ่านมาแทนในปีถัดไป 
Bangkok Store Mall Closing COVID-19
ภาพจาก Shutterstock

[Opinion] ปัจจุบันประเทศไทยมีนโยบายเยียวยาออกมาหลายอย่าง เช่น มาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน เสริมสภาพคล่องให้ประชาชนผ่านโครงการรัฐ (ม.33 เรารักกัน, คนละครึ่ง, เราชนะ) แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นมาตรการระยะสั้นและยังไม่ครอบคลุมผลกระทบทั้งหมด คนทำงานกลางคืน เช่น ศิลปิน ยังไม่ได้รับการเยียวยาจนต้องมีการเข้ายื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐ ไปจนถึงธุรกิจรายย่อยที่ยังต้องเลิกจ้างพนักงาน

จะสั่งห้าม จะให้ความช่วยเหลือ มีข้อกำหนดอะไรรัฐต้องสื่อสารชัดเจน

ทางสถาบันระบุว่าองค์ประกอบหนึ่งที่หลายๆประเทศที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ชัดเจน คือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ จากวิจัยที่ได้ทำการศึกษาและรวบรวมการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในภาวะวิกฤตของรัฐบาล มีสรุปประเด็นหลักๆ ดังนี้

  • สื่อสารอย่างชัดเจนและครบถ้วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและทำให้ประชาชนไม่เกิดความสับสน เช่น สื่อสารว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อให้ความสนับสนุนแก่ประชาชนที่จะตอบสนองต่อนโยบายต่างๆของรัฐ ในทิศทางที่ชัดเจนและไม่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะข้อมูลที่ออกมาจากหน่วยงานของรัฐต้องเป็นข้อมูลที่ตรงกัน ถูกต้อง ชัดเจน และปราศจากความสับสน 
  • สื่อสารอย่างมีความเห็นอกเห็นใจ จริงใจและซื่อสัตย์ เช่น แสดงออกถึงความเข้าใจถึงปัญหาและสื่อสารออกไปอย่างเห็นอกเห็นใจ และสื่อสารด้วยคำพูดเชิงบวก
  • สื่อสารถึงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นความไม่แน่นอนในสิ่งต่างๆอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และก็ควรสื่อสารออกไป เพื่อสร้างความคาดหวังที่ถูกต้อง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ภาพจาก ทำเนียบรัฐบาล

[Opinion] เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลไทยยังมีปัญหาอย่างมากในเรื่องนี้ แม้แต่ข้อมูลที่สำคัญต่อชีวิตประชาชนจากหน่วยงานของรัฐก็ยังขัดแย้งกันเอง เช่น ในกรณีที่ กรุงเทพมหานคร ประกาศให้นั่งทานอาหารในร้านได้ถึง 1 ทุ่ม แต่ในภายหลังฟากรัฐบาลกลับออกมาประกาศให้นั่งได้ถึง 3 ทุ่ม หรือในกรณีที่รัฐบาลออกมากล่าวว่าไม่มีการล็อกดาวน์ จนธุรกิจร้านอาหารพากันสต็อคของสดเพราะคาดหวังว่าจะได้ประกอบกิจการต่อไป แต่หลังจากนั้นก็มีการประกาศล็อกดาวน์ในวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคมช่วงเย็น ทำให้กิจการต่างๆ ถูกกระทบจากความผิดพลาดของรัฐ

ชัดเจนว่าการสื่อสารของรัฐล้มเหลว ไร้เอกภาพ ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระและตกอยู่ในความเสี่ยง แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศใช้พรก. ฉุกเฉินที่ ‘ควร’ จะทำให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจสั่งการรวมศูนย์แล้วก็ตาม

ยังไม่นับรวมการสื่อสารที่แสดงให้เห็นท่าทีผลักภาระและกล่าวโทษประชาชนของทางการ และมักโยนความผิดของการระบาดว่าเป็นเพราะความหละหลวมของประชาชน แทนที่จะแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจในฐานะมนุษย์ อย่างที่รัฐบาลในอารยประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ที่ถึงกับต้องออกมาขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า และรัฐบาลยังไม่ได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบในความไร้ประสิทธิภาพในควบคุมการระบาดและความล้มเหลวในการเจรจาจัดซื้อวัคซีนที่มีประสิทธิภาพจนต้องผลักภาระสู่ประชาชน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

บาส รชต สนิท - นักข่าว นักเขียน ที่ Brand Inside | สนใจด้าน Future of Work, สิทธิคนทำงาน, สิ่งแวดล้อม, การเมืองโลก, ปัญหาทุนนิยม และ สิทธิมนุษยชน