Ruby Roman รู้จักองุ่นสุดหรูของญี่ปุ่น 1 พวง ราคากว่า 1 แสนบาท

ถอดรหัสองุ่นสายพันธุ์ Ruby Roman องุ่นที่แพงที่สุดในโลก เมื่อใครได้สัมผัสต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมาก เป็นรสชาติองุ่นที่ดีที่สุด! แถมราคาแพงระยับระดับหลายแสนบาท

Ruby-Roman-Grape-of-Japan

ก่อนหน้านี้ ศิลปินและพิธีกรชื่อดัง อั๋น ภูวนาทเผยแพร่คลิปวิดีโอที่เขาซื้อองุ่นพันธุ์นี้มาทานและบอกว่าราคาองุ่นพวงละ 1.9 แสนบาท อั๋นกล่าวว่านี่คือ “องุ่นที่อร่อยที่สุดในชีวิต” ข้อมูลดังกล่าวถือว่าเปิดโลกสำหรับบางคนที่ไม่เคยรับรู้ว่ามีองุ่นสายพันธุ์นี้มาก่อน เรามาทำความรู้จักกันหน่อยดีกว่าว่าองุ่นสายพันธุ์นี้มีที่มาอย่างไร? เหตุใดจึงมีราคาแพงขนาดนี้?

ข้อมูลจาก Business Insider พูดถึงองุ่นสายพันธุ์นี้เมื่อปลายปี 2021 ไว้ว่า องุ่นสายพันธุ์นี้ถูกประมูลในปี 2020 ด้วยราคา 12,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 439,524 บาท (4.3 แสนบาทนั่นเอง) ตกราคาผลละ 400 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 14,650 บาท 1 พวงมีประมาณ 30 ผล

เฉพาะแค่ปี 2020 องุ่นสายพันธุ์นี้ผลิตออกมาได้เพียง 25,000 พวงเท่านั้น สมมติว่าตีราคาตามที่ประมูลได้ คือพวงละ 12,000 เหรียญสหรัฐ คำนวณแล้วจะสามารถขายได้ราว 300 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

องุ่นเพียง 25,000 พวงทำราคาได้มากถึง 10,988 ล้านบาท ถ้าเปรียบเทียบคร่าวๆ เม็ดเงินระดับนี้สามารถนำไปสร้างสวนสัตว์จากที่ดินพระราชทานจำนวน 300 ไร่ได้เลย (รัฐบาลเพิ่งจะอนุมัติงบไปที่ 10,974 ล้านบาท ราคาใกล้ๆ กันเผื่อไม่เห็นภาพ)

องุ่นสายพันธุ์ Ruby Roman ต่างจากสายพันธุ์อื่นอย่างไร?

องุ่นสายพันธุ์นี้ ผลมีขนาดใหญ่กว่าสายพันธุ์ทั่วไปถึง 4 เท่า นอกจากนั้นยังมีการระบุสีขององุ่นเพื่อกำหนดราคาตามเฉดสีที่กำหนดไว้ราว 5 เฉดและสีที่ตรงตามเป้าคือสีเฉดที่ 3 หรือไม่ก็เฉดที่ 4 โดย 1 พวงนี้ขายได้ตั้งแต่ 90 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,296 บาทไปจนถึง 450 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 16,482 บาท

ราคาขององุ่นสุดหรูที่แพงระดับหลายแสนบาทนั้นมาจากจำนวนองุ่นที่มีน้อย กระบวนการผลิตนั้นยากแสนเข็ญ รสชาติอร่อยล้ำระดับที่หาลองชิมเข้าขั้นลำบาก อีกทั้งความพยายามของผู้คนที่นิยมและต้องการลิ้มลองรสชาติจนต้องประมูล ส่งผลให้ราคาองุ่นแพงได้ขนาดนี้เลยแหละ

สำหรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้น ถือว่าการให้ผลไม้เป็นของขวัญล้ำค่าที่ผู้คนจะมอบให้แก่กัน และแน่นอนว่า ถ้าเห็นว่าองุ่นมีตำหนิและไม่ได้ขนาดตามที่กำหนด ผู้ขายก็ไม่ต้องการขายด้วย ขายก็ไม่ได้ราคาตามที่ระบุไว้ก่อนหน้า เรื่องนี้ Hiroshi Isu หัวหน้าทีมวิจัยจากศูนย์วิจัยด้านการเกษตรของจังหวัด Ishikawa ระบุว่า องุ่นที่มีสายพันธุ์แบบนี้มีไม่มากนัก ทั้งขนาดขององุ่นและเฉดสี เขาบอกว่า Ruby Roman คือสายพันธุ์เดียวที่มีอยู่ หายาก อร่อย ผลโต ถือว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง

ขณะที่ Kazuyoshi Sakurai ผู้ตรวจสอบองุ่นสายพันธุ์ Ruby Roman จาก Kahoku Japan Agricultural Cooperatives ระบุว่า สิ่งแรกที่เขาต้องตรวจสอบคือเฉดสีและขนาดขององุ่นแต่ละผลจะต้องมีน้ำหนักอย่างน้อย 20 กรัม ผลองุ่นจะต้องมีขนาดประมาณ 30 มิลลิเมตรหลายคนบอกว่าขนาดเทียบเท่าลูกปิงปอง แค่นั้นไม่พอยังต้องวัดระดับน้ำตาลจากองุ่นด้วย ระดับน้ำตาลจะต้องอยู่ที่ประมาณ 18% ขึ้นไปซึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง

การแบ่งเกรดขององุ่นจะแบ่งเป็นเกรดธรรมดาและเกรดระดับพรีเมียม โดยเกรดธรรมดาจะผลิตได้ราว 90% ราคาอยู่ที่ 90-140 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,200-5,100 บาท ขณะที่เกรดพรีเมียมจะอยู่ที่ 10% ราคาราว 180-450 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 6,500-16,000 บาท  สำหรับปริมาณน้ำหนักนั้น ถ้าเป็น Ruby Roman ทั่วไปน้ำหนักจะราว 20 กรัมแต่ถ้าระดับพรีเมียมจะต้องหนักอย่างน้อย 30 กรัม

องุ่นระดับพรีเมียมของสายพันธุ์นี้ เกษตรกรก็คาดหวังว่าจะขายได้ราวพวงละ 1,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 36,000 บาท ก็ปรากฎว่าปี 2021 สามารถผลิตเกรดนี้ได้ราว 2 พวง แต่ปี 2019-2020 ก่อนหน้านั้นไม่สามารถผลิตระดับพรีเมียมได้เลย ลักษณะเด่นของสายพันธุ์นี้คือมีกลิ่นหอม รสหวาน ไม่ออกเปรี้ยว เนื้อองุ่นมีลักษณะชุ่มฉ่ำ

Grape, Yamanashi Japan
ตัวอย่างสวนองุ่นไม่ระบุสายพันธุ์ ในเมือง Katsunuma-cho จังหวัด Yamanashi

ความพรีเมียมสุดหรูของ Ruby Roman

  • มีขนาดตามที่กำหนด
  • มีสีตามที่กำหนด
  • สีของผลองุ่นจะต้องสม่ำเสมอเท่ากันทั้งพวง ถ้ามีเฉดสีไม่สม่ำเสมอถือว่ายังไม่ดีพอ
  • มีรสชาติหวาน ไม่ออกเปรี้ยว
  • ผลองุ่นมีขนาดใหญ่กว่าสายพันธุ์อื่น
  • มีน้ำหนักมาก
  • มีพื้นที่เพาะปลูกแห่งเดียวในญี่ปุ่นคือจังหวัด Ishikawa
  • มีการเพาะปลูกในโรงเรือนที่สามารถคัดกรอง ตรวจสอบได้ตลอดเวลา
  • การตกแต่งผลพวงองุ่นก็สำคัญ ต้องคอยดูแลเพื่อจะควบคุมผลผลิตระดับพรีเมียมได้

แสงแดดก็สำคัญ ถ้าใบขององุ่นบดบังแสงแดดที่จะส่องไปยังผลองุ่น ผู้ดูแลจะต้องคอยตัดใบหรือขยับใบองุ่นเพื่อให้แสงแดดทอดผ่านผลองุ่นให้มีสีสม่ำเสมอทั้งพวง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะส่งผลถึงรสชาติและระดับราคาขององุ่นด้วย

แน่นอนว่าการดูแลระดับแมนนวลนั้นยังไม่พอ องุ่นแพงระยับระดับพวงละเป็นแสนบาทหรือหลายแสนบาทนี้ต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย มีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อควบคุมแสงแดดให้ผลองุ่นออกมาดีที่สุด โดยใช้โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนวัดระดับแสงแดดที่องุ่นจะได้รับ เพื่อประเมินว่าแสงแดดระดับนั้นๆ เพียงพอหรือไม่

นอกจากปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “อุณหภูมิ” ยิ่งอากาศในโรงเรือนร้อนก็ยิ่งส่งผลให้องุ่นไม่ออกผลสีแดงตามที่กำหนด สิ่งที่ต้องทำก็คือคอยเปิดเพดานของโรงเรือนเพื่อให้อากาศไหลเวียนถ่ายเทและทำให้บรรยากาศเย็นขึ้น

Ruby Roman พัฒนาสายพันธุ์เกือบ 14 ปีถึงวางจำหน่ายได้

Ruby Roman ไม่ใช่องุ่นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่มีมานานหลายร้อยปี แต่เพิ่งจะมีขายครั้งแรกในปี 2008 และใช้เวลาพัฒนาสายพันธุ์ตั้งแต่ปี 1995 โดยเกษตรกรในเมือง Ishikawa ร่วมมือกับศูนย์วิจัยพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกัน คนจากจังหวัด Ishikawa เองก็รู้สึกว่ารสชาติของ Ruby Roman นั้นเยี่ยมยอดจริงๆ เขาบอกว่าสายพันธุ์นี้มีการพัฒนายาวนานราว 14 ปี ที่นี่ถือเป็นพื้นที่เดียวในโลกที่สามารถผลิตได้

ก่อนหน้านี้ องุ่นสายพันธุ์ Delaware ที่มีผลเล็กสีแดงเข้ม ผลิตจากสหรัฐอเมริกาเป็นที่นิยมมากในญี่ปุ่น แต่หลังจากนั้นราคาก็เริ่มตกและเริ่มมีองุ่นสายพันธุ์ Kyoho ขึ้นมาแทนที่ ด้วยผลที่มีขนาดใหญ่และเกรดที่สูงกว่า จากนั้นก็เริ่มมีสายพันธุ์ใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ Delaware ต่อเนื่อง

องุ่นสายพันธุ์ Kyoho นั้นพัฒนาโดยญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือประมาณช่วงปี 1918 ผลของสายพันธุ์นี้มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับ Ruby Roman มาก ลักษณะเด่นคือสีของผลจะออกม่วงเข้มจนค่อนข้างดำ

ทำไมต้องพัฒนาองุ่นสายพันธุ์ใหม่?

สำหรับความต้องการพัฒนาสายพันธุ์ Ruby Roman นี้ หัวหน้าทีมนักวิจัย Hirofumi Isu เล่าถึงประวัติที่มาว่า เขาได้ยินว่าเกษตรกรต้องการองุ่นสายพันธุ์ใหม่ที่มีผลขนาดใหญ่และมีผลสีแดง ผลสีแดงนี้สำคัญมากเพราะมันจะทำให้แตกต่างจากสายพันธุ์ Kyoho ที่มีอยู่เดิม จุดแข็งของการคิดค้นสายพันธุ์นี้ก็คือ ต้องสร้างให้แตกต่าง ไม่ทับไลน์กัน ไม่แย่งตลาดกันเอง แม้แต่องุ่นก็ยังต้องมีเอกลักษณ์และสงวนความโดดเด่นของสายพันธุ์กันและกันด้วย

เรียกได้ว่า ถ้าจะซึ้อองุ่นผลสีดำต้องซื้อพันธุ์ Kyoho ถ้าจะซื้อองุ่นผลสีเขียวต้องซื้อพันธุ์ Mascat ซึ่งการจะผลิตองุ่นที่มีสีที่ดีได้บางครั้งก็ถูกทำลายเพราะสายฝน ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่า ควรสร้างสายพันธุ์องุ่นเสียใหม่ เอาแบบ hybrid สามารถเข้ากับสภาวะอากาศของญี่ปุ่นได้ ซึ่งอากาศที่ Ishikawa ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมาก ทำให้การจะพัฒนาสายพันธุ์สีแดงนั้นค่อนข้างยาก

ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่การพัฒนาข้ามสายพันธุ์ระหว่างองุ่นสีแดงและองุ่นสายพันธุ์ Fujiminori ที่มีผลขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นหรือเรียกว่าเป็นตัวแม่ของสายพันธุ์องุ่นที่มีผลใหญ่ที่สุดมาผสมนั่นเอง

หลังจากพัฒนาอยู่นานก็สามารถคว้าความสำเร็จนั้นมาได้ และชื่อเรียก Ruby Roman นี้ก็ถูกคัดเลือกจากอีกกว่า 600 ชื่อที่เป็นแคนดิเดตและนำไปสู่การตั้งกฎเกณฑ์ในการคัดกรองให้เป็นมาตรฐานร่วมกัน เช่น น้ำหนักเท่าไร, ต้องมีน้ำตาลกี่เปอร์เซ็นต์ มีสีเฉดไหน (ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น) เป็นการกำหนดแบบไม่อ่อนข้อ ประนีประนอม ต้องตรงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น

จากนั้นก็เริ่มเกิดการประมูลครั้งแรกที่ Kanazawa Central Wholesale Market ในเดือนสิงหาคม ปี 2008 จากระดับ 10,000 เยนไปถึง 100,000 เยนและสู่การประมูลด้วยระดับราคาที่แพงที่สุดครั้งแรกในปี 2011 ด้วยองุ่น 1 พวง มูลค่าประมาณ 500,000 เยนหรือประมาณแสนกว่าบาท

สรุปสั้นๆ ก็คือ กว่าจะผลิตองุ่นพวงละแสนบาทได้นั้นต้องตั้งใจทำตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ คุณสมบัติของความแพงนี้ได้มาจากการพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกันอย่างจริงจังระหว่างหน่วยงานของรัฐกับภาคประชาชน

เป็นสายพันธุ์ที่หาได้ยาก ต้องสร้างองุ่นที่เข้ากับสภาพอากาศของพื้นที่ ปลูกในจังหวัด Ishikawa ที่เดียว เลือกเฉพาะความโดดเด่นของสายพันธุ์ที่ต้องการ เป็นการผลิตที่มีการควบคุมดูแลอย่างพิถีพิถันนับตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวและวางจำหน่าย ผ่านการคิดค้นมาอย่างดีแล้วทุกขั้นตอน แม้จะใช้เวลาค่อนข้างนานแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามหาศาลในระดับที่สิบกว่าปีที่คิดค้นนั้น ไม่สูญเปล่าเลย

ที่มา – Ishikawa Food, FAO, Business Insider, BuzzFeedVideo, Hokuei Town, Siwar Planet, Noal Farm

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา