Royal Enfield มอเตอร์ไซค์คลาสสิก ต้นกำเนิดจากอังกฤษ เปิดตัว Himalayan รถระดับกลางราคา 1.69 แสนบาท

สำหรับคนที่เล่นมอเตอร์ไซค์สายคลาสสิค สไตล์ผู้ดีอังกฤษ ต้องไม่พลาด Royal Enfield ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1901 หรือสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เรียกว่ามีสายการผลิตยาวนานจนกลายมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของโลก

จนวันนี้ “Royal Enfield” กลายเป็นรถที่มีพื้นฐานของการเป็นรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิกที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน
และตอบโจทย์ทุกๆ ไลฟ์สไตล์

ให้คนไทยดูแลคนไทย

สำหรับ Royal Enfield เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแล้วประมาณ 2 ปี โดยผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของบริษัท เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย จำกัด (General Auto Supply) จนทำให้ปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่ใช้งานอยู่กว่า 2,500 คัน

ณฐพร จิรมหาโภคา Country Manager ของ Royal Enfield ที่ถือเป็นหญิงแกร่งแห่งอุตสาหกรรมสองล้อ บอกว่า ปีนี้เป็นอีกจุดเริ่มต้นใหม่ที่สำคัญของทั้ง Royal Enfield เพราะ การให้คนไทย บริหารงานในประเทศไทย ได้ดูแลลูกค้าและคู่ค้าคนไทย จะเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุดการเข้ามารับตำแหน่งนี้จึงเหมือนเข้ามาเป็นตัวกลางในการทำตลาด และดูแลลูกค้าในเมืองไทยโดยเฉพาะ รวมถึงเข้ามาสนับสนุน เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย

ปัจจุบันประเทศไทย เป็น 1 ใน 2 ตลาดหลักของ Royal Enfield ในภูมิภาคเอเชีย ที่มีการตั้ง Country Manager มาดูแล ซึ่งอีกประเทศหนึ่งก็คืออินโดนีเซีย ซึ่งถ้าดูแผนในการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการของ Royal Enfield ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จะเห็นถึงความจริงจังของแบรนด์ที่จะทำตลาดในประเทศไทยมากขึ้น

ณฐพร จิรมหาโภคา Country Manager ของ Royal Enfield
ณฐพร จิรมหาโภคา Country Manager ของ Royal Enfield

ในช่วงที่ผ่านมา Royal Enfield มีดีลเลอร์ทำตลาดในประเทศไทยอยู่เจ้าเดียว แต่มีเอ็กซ์คลูซีฟ สโตร์ (Exclusive Store) อยู่ 2 สาขา และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย (Authorize Service Center) 4 สาขา ซึ่งมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 7 สาขา รวมถึงการเปิดโชว์รูมตามหัวเมือง อย่างเชียงใหม่ และในกรุงเทพฯ

“สิ่งสำคัญที่จะพิจารณาในการเปิดโชว์รูมในต่างจังหวัดเลยคือ เข้าไปศึกษาสภาพตลาดเพื่อดูถึงความสนใจของลูกค้า อย่างกลุ่มคนเชียงใหม่ มีแฟนพันธุ์แท้รถคลาสสิกค่อนข้างมาก และด้วยเรื่องของสภาพภูมิประเทศที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ขับขี่รถและชาวต่างชาติทีชื่นชอบธรรมชาติ ทำให้เชื่อว่าเมื่อเปิดแล้วจะได้รับความสนใจและช่วยสร้างคอมมูนิตี้ที่แข็งแรงขึ้นได้” ณฐพร กล่าว

3 กลยุทธ์หลักในการทำตลาด

กลยุทธ์ทางการตลาดหลักของ Royal Enfield จะอยู่บนพื้นฐาน อันดับแรกเลย Ride More Ride Pure หรือการเพิ่มประสบการณ์ในการขับขี่ให้แก่ลูกค้าที่สนใจ ทั้งในแง่ของการนำรถมาให้ทดลองขับ ประการที่สอง Community อย่างการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ให้ผู้ที่ขับขี่ได้มาพบเจอกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ระหว่างทาง ซึ่งกิจกรรมต่างๆ จะมีรูปแบบที่ทำเหมือนกันทั้งโลกและบางกิจกรรมที่จะปรับให้เหมาะสมกับคนไทย

สุดท้าย คือ บริการหลังการขาย เพื่อให้รับรู้ได้ว่าด้วยศักยภาพของรถที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน ไม่ต้องกังวลเรื่องของเซอร์วิสเพราะอะไหล่ราคาเข้าถึงง่าย บนพื้นฐานของการที่ Royal Enfield เป็นเหมือนเพื่อนที่อยู่ข้างลูกค้า
ที่อยากให้ทุกคนมีความสุขไปด้วยกัน

Royal Enfield Himalayan
Royal Enfield Himalayan

ขณะเดียวกัน ยังมองว่าลักษณะของคนไทย ตลาดกลุ่มรถคลาสสิก ถือเป็นตลาดที่มีความเหนียวแน่น ถ้ามีการดูแลลูกค้าที่ดี สร้างแบรนด์ให้มีความสม่ำเสมอ ส่งเสริมกิจกรรมให้เกิดการสร้างคอมมูนิตี้ทิศทางการใช้งานก็จะเพิ่มขึ้น

“แม้ว่าในตลาดรถกลุ่มนี้ จะมีหลากหลายแบรนด์ ทั้งแบรนด์เอเชีย และยุโรป รวมถึงแบรนด์อเมริกาที่กำลังเข้ามาทำการตลาดเต็มตัวในเร็วๆ นี้ แต่ Royal Enfield จะกลายเป็นแบรนด์เดียวที่เป็นรถคลาสสิกจริงๆ ในกลุ่มขนาดกลาง เน้นการดูแลรักษาง่าย และใช้งานได้ทุกๆไลฟ์สไตล์บนพื้นฐานสำคัญคือเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแรงในแง่ของประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน”

Royal Enfield Himalayan
Royal Enfield Himalayan

เสริมรุ่น ‘Himalayan’ เพื่อสร้างตลาดใหม่

Royal Enfield เชื่อว่าจะผลักดันให้ลูกค้าที่ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์คลาสสิกให้ความสนใจมากขึ้น คือการเพิ่มเซกเมนต์ใหม่อย่างรุ่น หิมาลายัน (Himalayan) ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งจากกลุ่มผู้ที่มาทดลองขับ ในแง่ของการขับสนุก ขับง่ายเกินกว่าที่คาดไว้ และจะมาช่วยสร้างตลาดใหม่ได้

จุดเด่นสำคัญของรุ่นนี้ก็คือ การเป็นรถมอเตอร์ไซค์ในกลุ่ม Adventure Touring เครื่อง 411cc ที่สามารถพิชิตยอดเขาหิมาลัยได้ ด้วยความที่รถไม่มีความซับซ้อนมาก ทำให้อะไหล่หรือเครื่องยนต์สามารถซ่อมแซม หรือหาอะไหล่สำรองได้อย่างง่ายดาย

ที่สำคัญคืออยู่ในช่วงระดับราคาที่คุ้มค่า คุ้มราคาในการซื้อ จากราคาเริ่มต้นที่ 169,800 บาท จากเดิมที่ระดับราคารถของ Royal Enfield จะอยู่ที่ราว 179,800 บาท ไปจนถึง 2 แสนบาทต้นๆ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา