รถยนต์ไฟฟ้า 100% เริ่มถูกพูดถึงในวงกว้าง และกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ของคนที่อยากซื้อรถยนต์คันแรกในยุคนี้ Brand Inside จึงอยากชวนมานั่งบนรถยนต์ไฟฟ้า 100% จากจีน BYD e6 เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยกัน
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/05/byd.jpg)
ถึงเก่า แต่ก็เก๋าประสบการณ์
ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่น e6 ของ BYD ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยโดย “ไรเซน เอนเนอร์จี” หนึ่งในบริษัทในเครือของผู้ทำตลาดรถมอเตอร์ไซค์ Ducati และ Royal Enfield ในไทย แถมบริษัทนี้ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla อีกด้วย
แต่น่าเสียดายไปหน่อยที่รถยนต์ไฟฟ้าของ BYD รุ่นนี้เปิดจำหน่ายในประเทศอื่นๆ มาตั้งแต่ปี 2552 ทำให้การออกแบบภายนอก และภายในยังดูเก่าไปสักเล็กน้อย หรือเรียกได้ว่าซื้อรถปีนี้ แต่ได้การออกแบบของเกือบ 10 ปีก่อนก็ไม่แปลกนัก
อย่างไรก็ตามคนที่อยากได้รถยนต์ไฟฟ้ามาขับสักคันคงไม่มีตัวเลือกอะไรมากในเวลานี้ ทำให้คุณสมบัติ และสมรรถนะต่างๆ ที่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ให้มาไม่ได้ตกรุ่นเหมือนกับดีไซน์ แต่เก๋าไปด้วยประสิทธิภาพในการขับขี่ในระดับที่คนไม่เคยขับรถยนต์ไฟฟ้ามาก่อนจะรู้สึกว่าแตกต่างกับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันอย่างที่ทุกคนใช้อยู่ทุกวันนี้
คุณสมบัติที่แตกต่างจากรถยนต์ใช้น้ำมัน
ก่อนจะก้าวขึ้นไปจับพวกมาลัย และเหยียบคันเร่งกับ BYD e6 ก็อยากให้รู้จักกับสเปกของรถยนต์รุ่นนี้ให้มากขึ้นเสียก่อน โดย e6 นั้นมีลักษณะเป็นรถยนต์ MPV (Multi Purpose Vehicle) หรือเอาง่ายๆ ว่ารถยนต์สำหรับครอบครัว เดินทางไปไหนหลายๆ คนก็นั่งสะดวก แถมบรรทุกของได้เหลือๆ
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/05/byd2.jpg)
แต่ด้วยขนาดที่ยาว และใหญ่ใกล้เคียงกับ MPV รุ่นอื่นๆ ในตลาด (4,560*1,822*1,630 มม.) ก็ไม่ได้ทำให้สมรรถนะในการขับขี่ของรถยนต์แบบนี้นั้นหมดสนุก เพราะรถยนต์ไฟฟ้า 100% คันนี้มาพร้อมกับกำลังส่งสูงสุด 134 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร เรียกว่าถึงรถจะหนักร่วม 2.4 ตัน ก็เล่นฉิวเพียงแค่แตะคันเร่ง
ที่สำคัญถึงจะเก่า แต่ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยี Keyless ที่ไม่ต้องไขกุญแจก็ Start รถยนต์ไฟฟ้า 100% คันนี้ได้ทันที ดังนั้นอย่ารอช้าที่จะเอารีโมทกุญแจใส่กระเป๋า แล้วเดินไปกดปุ่มเปิดประตูเพื่อเข้าห้องโดยสาร และเหยียบเบรค พร้อมกดปุ่มติดเครื่องยนต์กันเลยดีกว่า
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/05/byd3.jpg)
เครื่องฟิต Start ติดง่ายดังใจหวัง
เมื่อถึงเวลาที่ต้องขับขี่เจ้ารถครอบครัวคันนี้จริงๆ ก็เหมือนอย่างที่บริษัท และพนักงานขายที่งาน Motor Show โม้เอาไว้ เพราะรถยนต์คันนี้เหยียบมาๆ เรียกว่าสั่งได้ดั่งใจก็ไม่แปลกนัก ทำให้หลายคนที่คิดว่ารถยนต์ไฟฟ้า 100% มันจะแรงกว่ารถยนต์น้ำมันได้อย่างไรต้องคิดใหม่ในทันที
โดยตัวรถยนต์ไฟฟ้า e6 นั้นมี 2 โหมดขับขี่คือ ECO และ Sport โดยโหมดแรกนั้นเหมาะที่ขับขี่ในเมืองที่รถติดๆ มากกว่า เพราะไม่ได้รีดไฟจากมอเตอร์มากจนเกินไป ส่วน Sport นั้นเหมาะกับการขับทางไกลมาก เนื่องจากมันจะรีดกระแสไฟเข้ามอเตอร์แบบเต็มที่ จนการทำความเร็ว รวมถึงเร่งแซงของรถคันนี้ทำได้อย่างง่ายดาย
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/05/byd4.jpg)
ส่วนใครกลัวว่าขับเพลินแล้วไฟจะไม่พอ ตัว BYD คันนี้ก็ติดตั้งระบบดึงไฟกลับเมื่อมีการเบรครถยนต์ขณะที่ทำความเร็วอยู่ แม้จะดึงไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ไม่มาก แต่มันก็ช่วยยืดระยะเวลาในการขับขี่ได้ไม่มากก็น้อย แถมยังขับขี่กันค่อนข้างสนุก แม้จังหวะเบรคจะค่อนข้างลึกไปหน่อย ทำให้ช่วงแรกต้องปรับตัวบ้าง
ราคาพอกับ Camry ตัว Hybrid
เมื่อเรื่องสมรรถนะที่ดีแบบไม่เคยพบเจอมาก่อน (เพราะอาจไม่เคยขับรถยนต์ไฟฟ้า) คราวนี้ก็ลองมาดูเรื่องราคาค่าตัวกันบ้าง โดย BYD e6 คันนี้ราคาเปิดอยู่ที่ 1,890,000 ล้านบาท อาจค่อนข้างสูงไปนิดสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับรถ MPV นำเข้าอื่นๆ ก็สูสี เพียงแต่ด้อยกว่าด้วยเรื่อง 5 ที่นั่ง เพราะแบรนด์อื่นนั้นมี 7 ที่นั่งกันหมดแล้ว
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/05/byd5.jpg)
นอกจากนี้หากไม่ได้ต้องการรถเพื่อครอบครัว แต่อยากได้รถยนต์คันใหญ่ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ภายใน Camry และ Accord รุ่น Hybrid ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดี เพราะต่างก็ประหยัดน้ำมันได้ด้วยไฟฟ้าเหมือนกัน จึงอยู่ที่ตัวผู้ใช้ว่าอยากซื้อรถเพื่อไปใช้อะไรมากกว่า
อย่างไรก็ตามต้องอย่าลืมด้วยว่าหากอยากซื้อ BYD e6 จริงๆ ก็ต้องเตรียมใจกับการเข้าไปชาร์จไฟตามสถานที่ต่างๆด้วย เพราะรถยนต์คันนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่มีเชื้อเพลิงอื่นๆ ถ้าออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวแล้วล่ะก็ อย่าลืมวางแผนหาสถานที่เติมไฟฟ้าดีๆ ด้วย เพราะรถคันนี้วิ่งได้ราว 400 กม. เมื่อแบตเตอรี่เต็มเท่านั้น
สรุป
รถยนต์ไฟฟ้า 100% ยังเป็นของเล่นคนรวยในประเทศไทยอยู่ และเชื่อว่าหาก BYD e6 ไม่ทำราคาออกมาดีกว่านี้ โอกาสที่คนรวยส่วนใหญ่จะขยับไปซื้อ Tesla เลยก็มีสูง ในทางกลับกันหากซื้อเพื่อนำมาใช้ในการพาณิชย์ เช่นรถแท็กซี่ ก็คงคุ้มค่าแน่ๆ เพราะราคาสูงกว่า Prius เล็กน้อย แต่ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าล้วนๆ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา