ส. ผู้ค้าปลีกไทย คาดความเชื่อมั่นค้าปลีกไตรมาสแรกลดลง เหตุกำลังซื้ออ่อนแอ นโยบายรัฐไม่ชัดเจน

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกเดือน ม.ค.-มี.ค. 2566 ลดลง เหตุกำลังซื้อฐานรากอ่อนแอ, ต้นทุนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูง, ค่าสาธารณูปโภค และความกังวลต่อความไม่ชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวอาจไม่เป็นไปตามเป้า

Bangkok Retail กรุงเทพ ค้าปลีก
ภาพจาก Shutterstock

ต้นปี 2023 ค้าปลีกกลับมาซบเซา

ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก (Retail Sentiment Index – RSI) เดือนธันวาคมที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7.2 จุด เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการจับจ่ายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการโควิดและเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว

ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย
ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิม (SSSG) , ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency) ปรับเพิ่มขึ้น โดยเมื่อพิจารณาตามประเภทร้านค้า พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการร้านค้าประเภทภัตตาคาร ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ร้านค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีความเชื่อมั่นลดลงหลังมีการเร่งซื้อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

อย่างไรก็ตามด้านดัชนี RSI ใน 3 เดือนจากนี้ (ม.ค.-มี.ค.) มีแนวโน้มปรับลดลง แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 จากปัจจัยกดดันทั้งภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง กำลังซื้ออ่อนแอ หนี้ครัวเรือน มาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐที่ทยอยหมดลง แนวโน้มต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นทั้งจากค่าวัตถุดิบ ค่าไฟฟ้า เป็นต้น

นอกจากนี้ยังพบว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีลักษณะไม่สมดุล (K-shape Recovery) สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยธุรกิจร้อยละ 30 ยังไม่ฟื้นตัวและคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ในปี 2567 ในขณะที่ร้อยละ 11 ฟื้นตัวแล้วในปี 2565 ส่วนที่เหลือคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวและขยายตัวได้ในปี 2566 ทางสมาคมฯ จึงมีความเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่จะเข้ามาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจต้องมีความหลากหลาย ตรงเป้าหมาย ไม่ซับซ้อน เน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ในขณะที่ผู้บริโภคระดับบน, ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อต้องใช้มาตรการต่างชุดกัน โดยเน้นย้ำว่ารัฐต้องคลอดมาตรการที่ต่อเนื่องและระยะยาวจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน

ทั้งนี้ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “ประเมินการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก”  ของผู้ประกอบการที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-24 ธ.ค.65 ดังนี้

  • ประเมินการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมในไตรมาสที่ 4 ปี 65 ปรับดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีก่อนหน้า โดยธุรกิจมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และธุรกิจ 57% มีสภาพคล่องเพียงพอมากกว่า 12 เดือน
    • 62 %  ของผู้ประกอบการ ระบุว่า ธุรกิจขยายตัว
    • 5 %    ของผู้ประกอบการ ระบุว่า ธุรกิจทรงตัว
    • 33 %  ของผู้ประกอบการ ระบุว่า ธุรกิจหดตัว
  • ประเมินเป้าหมายยอดขาย ปี 2566 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ตั้งเป้ายอดขายปี 2566 เพิ่มขึ้นมากกว่า 5% และคาดว่ารายได้จะกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดในปี 2567 และผู้ประกอบการ 22% (กลุ่ม 20% และ 2%) ตั้งเป้ายอดขายปี 66 ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ 5%
    • ร้อยละ 41 % ตั้งเป้ายอดขาย มากกว่า 10%
    • ร้อยละ 37 % ตั้งเป้ายอดขาย ระหว่าง 5 – 10%
    • ร้อยละ 20 % ตั้งเป้ายอดขาย ระหว่าง 1 – 5%
    • ร้อยละ 2 %   ตั้งเป้ายอดขาย เท่าเดิม
  • ประเมินรายได้สู่ภาวะปกติของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการ ร้อยละ 30 คาดว่าธุรกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติ ต้องใช้เวลาถึงปี 2567 ธุรกิจถึงเข้าสู่ภาวะปกติก่อนเกิดโควิด
    • 11%  คาดเข้าสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่ปี 2565
    • 11%  คาดเข้าสู่ภาวะปกติ Q1 2566
    • 24%  คาดเข้าสู่ภาวะปกติ Q2 2566
    • 11%  คาดเข้าสู่ภาวะปกติ Q3  2566
    • 13%  คาดเข้าสู่ภาวะปกติ Q4  2566
    • 30%  คาดเข้าสู่ภาวะปกติ  ปี 2567
  • ปัจจัยความกังวลที่มีต่อการฟื้นตัวของธุรกิจในปี 2566
    • อันดับที่ 1  ต้นทุนสูงขึ้น
    • อันดับที่ 2  กำลังซื้อเปราะบาง
    • อันดับที่ 3  เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และ นักท่องเที่ยวมาต่ำกว่าที่คาด
    • อันดับที่ 4  มาตรการรัฐที่ทยอยหมดลง

“สรุปภาพรวมการค้าปลีกไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันหรือขาดสมดุล (K-Shaped Recovery) อีกทั้งต้องเผชิญกับมรสุมเศรษฐกิจอย่างน้อย 5 ลูก ประกอบด้วย 1) ภาวะเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยเพิ่มสูง 2) ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงที่เป็น ตัวฉุดการบริโภค 3) ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับขึ้นสูงต่อไป 4) การกลับมาระบาดของโควิด-19 5) การปรับเพิ่มของค่าแรง-แรงงานขาดแคลน ซึ่งมรสุมเศรษฐกิจดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงที่ทำให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่กำลังซื้อยังคงอ่อนแรง ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมความพร้อมในการรับมือ ถอดรหัสการทำธุรกิจด้วยการลงมือปฏิบัติทันที พร้อมนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนหรือ ESG เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ เพราะอนาคตของค้าปลีกไทยในอีก 3 ปีข้างหน้าเราอาจไม่เห็นภาพค้าปลีกยุคเดิมอีกต่อไปแล้ว”

ค้าปลีก

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา