เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Huawei ได้ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asian Review เรื่องของบริษัท หลังจากที่สหรัฐประกาศห้ามไม่ให้บริษัทในสหรัฐใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยความมั่นคง
เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Huawei ได้กล่าวกับ Nikkei Asian Review ครั้งแรกหลังจากที่สหรัฐฯ ได้ประกาศห้ามไม่ให้บริษัทในสหรัฐใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยความมั่นคง ซึ่งกระทบโดยตรงกับผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่อย่าง Huawei และ ZTE โดยเหรินได้กล่าวว่า “ยอดขายของบริษัทในปีนี้อาจเติบโตช้าลงเล็กน้อย”
- สหรัฐออกคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยความมั่นคง “หัวเว่ย” ชี้สหรัฐจะล้าหลังทันที
- CIA กล่าวหาว่า Huawei รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานความมั่นคงจีน ตัวแทนออกมาปฏิเสธแล้ว
- 7 ประเด็นสำคัญเรื่องความปลอดภัยด้านไซเบอร์จาก “เหริน เจิ้งเฟย” CEO หัวเว่ย
ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมารายได้ของ Huawei เติบโตถึง 39% อยู่ที่ 179,000 ล้านหยวน ขณะที่งบปี 2018 ที่ผ่านมารายได้บริษัทเติบโตถึง 19.5% โดยรายได้ของธุรกิจโทรคมนาคมในปี 2018 มีรายได้ทั้งสิ้น 294,000 ล้านหยวน ยังเป็นรองรายได้จากกลุ่มลูกค้าทั่วไปอยู่
ขณะเดียวกันเขาเองยังได้ความเห็นในเรื่องผลกระทบที่บริษัทสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Qualcomm ไม่สามารถขายอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ชิป หรือแม้แต่สิทธิบัตรให้กับ Huawei ได้นั้น เหรินได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “Huawei ไม่เป็นไร” ก่อนหน้านี้นั้นบริษัทได้รายงานว่าได้เตรียมสต็อกอุปกรณ์และชิ้นส่วนต่างๆ ไว้นานถึง 1 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยรายได้จาก Huawei ที่จ่ายให้ Qualcomm คิดเป็น 5% ของรายได้รวม Qualcomm
นอกจากนี้เขายังได้เสริมว่า Huawei จะไม่เปลี่ยนนโยบายการบริหารตามคำร้องของรัฐบาลสหรัฐ เหมือนกับกรณีของ ZTE ที่โดนทั้งค่าปรับ และรวมไปถึงเปลี่ยนนโยบายต่างๆ หลังจากที่สหรัฐฯ เคยแบน ZTE มาแล้ว แต่ในท้ายที่สุดผู้นำของทั้ง 2 ประเทศก็หาทางออกจนได้
อย่างไรก็ดีล่าสุดกระทรงพาณิชย์ของสหรัฐฯ อาจผ่อนปรนให้ Huawei สามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจบางอย่างได้ในสหรัฐฯ เช่น การให้บริการลูกค้าบางโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จในบางรัฐ เช่น Wyoming ที่กำลังดำเนินการติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง หรือสามารถซื้ออุปกรณ์ชิ้นส่วนจากบริษัทในสหรัฐฯ เพื่อซ่อมบำรุง แต่ไม่สามารถผลิตอุปกรณ์ใหม่ได้
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา