พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศน้อมรับมติมหาชน พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน

ถ้อยแถลงจากพิธา 1 วันแรกหลังการเลือกตั้ง ดังนี้ 

กราบสวัสดี พ่อแม่พี่น้องประชาชน คนไทยทั้งประเทศ ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย วันนี้ขอใช้โอกาสในการสื่อสารไปยังพ่อแม่พี่น้องประชาชนผ่านพี่น้องสื่อมวลชนที่ทำข่าวอยู่ที่พรรคก้าวไกล ณ วันนี้ครับ

เป็นที่ประจักษ์แล้วนะครับ ว่าพี่น้องประชาชนคนไทยได้แสดงเจตจำนงผ่านคูหาการเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ของการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นผมขอประกาศในที่นี่ครับว่า พรรคก้าวไกลพร้อมที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไปนะครับ นี่คือการน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาล

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน พร้อมที่จะฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและความคิดเห็นที่แตกต่างจะทำให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้นในอนาคต ตอนนี้เราพร้อมที่จะเคารพและให้เกียรติต่อยอดจากการต่อสู้ทุกฝ่ายที่ผ่านมาเพื่อประชาธิปไตย และในขณะเดียวกันเราก็พร้อมครับที่จะคืนศรัทธาให้กับระบบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา สร้างความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้กับระบบการเมืองไทยและผู้แทนราษฎรทุกคน

มได้มีโอกาสโทรศัพท์ติดต่อไปหาแกนนำทั้งหมดห้าพรรคด้วยกัน มีทั้งที่ผมติดต่อไปและแกนนำของพรรคได้ติดต่อมาทางพรรคก้าวไกล มีโอกาสได้ติดต่อหาคุณแพทองธาร ชินวัตร และแสดงความยินดีกับเธอกับความมุ่งมั่นตั้งใจในการเดินทางหาเสียง ถึงแม้ว่าจะต้องมีบทบาทความเป็นแม่ แต่เธอก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ และก็ได้เชิญชวนพรรคเพื่อไทยในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล-เพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมตามที่เคยได้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน

ห้าพรรคที่ได้พูดถึงก็จะมีพรรคก้าวไกล เพื่อไทย ประชาชาติ ไทยสร้างไทย และเสรีรวมไทย ณ ปัจจุบัน ถ้ารวมกันตอนนี้ก็ 308 เสียง กำลังติดต่อไปยังพรรคเป็นธรรมอีกหนึ่งพรรคก็จะรวมเป็นทั้งหมด 309 เสียง ซึ่งคิดว่าเพียงพอแล้วในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ถือว่าทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชนมาปฏิบัติ และชัดเจนว่าเป็นการปิดประตูการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นที่แน่แท้แล้ว

ต่อไป การทำงานของเราจะมีอยู่ 2-3 ส่วนด้วยกัน

หนึ่ง การเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลจะนำ Roadmap ที่ได้สัญญากับพี่น้องประชาชนก่อนการเลือกตั้งเพื่อที่จะคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่ และพร้อมที่จะพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ทำประชามติให้มี สสร. แก้ไขรัฐธรรมนูญ และพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องปากท้อง ในการสร้างความเจริญเติบโตให้เศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำไปในทางเดียวกัน (Inclusive Growth)

ในขณะเดียวกัน ผมพร้อมที่จะตั้งทีมงานในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีทีมงานในการทำงานตรงนี้ ร่วมกับทุกพรรค ในการที่จะให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างมีรูปธรรม อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีการเดินสายพบกับพี่น้องประชาชน ภาคประชาสังคม พี่น้องข้าราชการและผู้นำภาคธุรกิจและทุกภาคส่วน เป็นส่วนที่จะดำเนินการจากต่อนี้

สุดท้ายก็พร้อมที่จะเดินหน้าทำความเข้าใจกับคนที่ยังไม่เข้าใจนโยบายพรรคก้าวไกลหรือคนที่เห็นต่าง เพื่อให้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นฉันทามติที่มาจากพี่น้องประชาชนและพวกเราน้อมรับและพร้อมที่จะสามารถทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ เพื่อให้เห็นผลดีของความตั้งใจในการทำงานของพรรคก้าวไกลและพาประเทศไทยไปสู่อนาคต สู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ ที่มีอุดมการณ์ และเป็นสิ่งที่พวกเราถวิลหาทุกคน ตอนนี้ก็คงเป็น Key Message ในการแถลงข่าวที่นี่

จากนี้ก็จะมีการประชุม บกบห. พรรคตอนบ่ายนี้ และเดินทางขอบคุณพี่น้องประชาชน วันนี้ก็ที่กรุงเทพมหานครก่อนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นก็จะเดินทางทั่วทุกภูมิภาค

จะรีบเร่งตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงระหว่างรออยู่นี้ เพื่อให้ไม่มีความไม่แน่นอน ขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนมั่นใจการทำงานของพรรคก้าวไกล เราจะทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ และรวดเร็วเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนแน่นอนครับ ขอบคุณมากครับ

กรณี สว.

ไม่กังวล สว. เพราะเป็นฉันทามติจากพี่น้องประชาชนแล้ว ทุกฝ่ายควรที่จะน้อมรับตรงนี้ การฝืนฉันทามติจากพี่น้องประชาชน คงจะไม่มีประโยชน์กับฝ่ายใดเลย แม้แต่ สว. ด้วย ตอนนี้สิ่งที่เราสัญญากับประชาชนว่า การพลิกขั้วจากฝ่ายค้านมาตั้งรัฐบาล เพื่อเป็นรัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน รวมกัน 300 กว่าเสียงในระบบการเมืองปกติก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เราไม่คิดว่าจะมีใครที่จะกล้าฝืนฉันทามติและทุกฝ่ายควรน้อมรับ เพราะว่าพี่น้องประชาชนทั่วประเทศไทยได้ออกมาแสดงเจตจำนงของเขาแล้ว ว่าเขาต้องการที่จะเห็นอะไร

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

เสียงตอบรับทั้งห้าพรรค

พร้อมที่จะพูดคุยกัน และตั้งใจที่จะตั้งทีมทำงานเพื่อพูดคุยรายละเอียดทั้งคน ทั้งนโยบาย แผนการทำงาน ความคาดหวังซึ่งกันและกัน ซึ่งได้เรียนกับพี่น้องประชาชนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าเราจะต้องมี MoU (บันทึกทำความเข้าใจ) เหมือนกับการเมืองสากลเพื่อให้เห็นความคาดหวังในการทำงาน ให้พี่น้องประชาชนสามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วง 100 วัน 1 ปี หรือสมัยแรกจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมคิดว่าการที่จะเป็นรัฐบาลที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ต้องมีส่วนร่วมจากพี่น้องประชาชนและภาคธุรกิจด้วย เพราะฉะนั้นผมคิดว่า MoU ที่เรากำลังจะทำกันจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว

มั่นใจ 309 เสียงจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก มีน้ำหนักพอจะเป็นรัฐบาลต่อไป

พิธาเล่า อุ๊งอิ๊งแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกล แสดงความยินดีกับประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน คิดว่ามีโอกาสที่จะทำงานร่วมกันในอนาคต

พรรคเป็นธรรมมีที่มาอย่างไร?

พรรคเป็นธรรมคือพรรคที่เราเห็นถึงความตั้งใจในการทำงานเพื่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เราลงพื้นที่ไปและได้แลกเปลี่ยนกับแกนนำและว่าที่ผู้สมัครอยู่บ้าง คิดว่ามีความคิดตรงกันในการกำหนดอนาคตของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เชื่อในเรื่องของการกระจายอำนาจเหมือนกัน เชื่อในเรื่องของความมั่งคั่งทางอาหารมากกว่าความมั่นคงทางทหาร ให้พลเรือนนำทหารในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้น่าจะเป็นคำตอบ เพราะฉะนั้น คิดว่าน่าจะมีส่วนช่วยทำให้เสถียรภาพรัฐบาลและการแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรูปธรรมมากขึ้นร่วมกับพรรคประชาชาติรวมถึงทีมงานพรรคก้าวไกลที่ตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนในสามจังหวัด

ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมจะเป็นของก้าวไกลหรือเพื่อไทย?

ตอนนี้พรรคก้าวไกล 151 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทย 141 ที่นั่ง แต่ก็อย่างที่ได้เรียนกับพี่น้องสื่อมวลชนตั้งแต่เมื่อวานว่าสิ่งที่สำคัญคือนโยบาย การปฏิรูปกองทัพและการเกณฑ์ทหารไม่ได้อยู่ที่ตัวกระทรวงเท่าไรนัก ตรงนี้เป็นหลักการในการเจรจาของเรา ก็จะใช้หลักการนี้ในการเจรจาว่าแต่ละคนเห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไร คงต้องรอคณะกรรมการทั้งในเรื่องการเจรจาการฟอร์มรัฐบาลรวมถึงคณะกรรมการที่จะทำเป็นทีมในการเปลี่ยนผ่านอำนาจหรือเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือเรียกว่า Transition Team

ตอนนี้พิธามีความพร้อมทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและถ้าหากต้องควบตำแหน่งเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็พร้อมในทุกตำแหน่ง แต่ในทางกลับกัน ถ้ามีคนเชี่ยวชาญในการปฏิรูปกองทัพ เข้าใจในเรื่องการทำกองทัพจิ๋วแต่แจ๋ว ทันสมัย ดูแลสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย ทำให้ปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในกองทัพไม่มี ก็ไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน

ย้ำอีกครั้ง เรื่อง สว.

ท่าทีของวุฒิสภา พูดกันหลายครั้ง หลายคน แต่ละคนก็ต่างคำพูดไป แต่ก็อย่างที่บอกฉันทามติของประชาชนมาแล้ว ทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติที่มาจากพี่น้องประชาชน การฝืนฉันทามติของประชาชนไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย รวมถึงคนที่คิดจะฝืนด้วย

มีคนตั้งคำถามเรื่องรัฐประหารกับพลเอกประวิตรฯ พิธา คิดเห็นอย่างไร?

ก็คิดว่า หมดเวลาของการทำรัฐประหารในประเทศไทยแล้วครับ ผลของการเลือกตั้ง ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่เป็นชัยชนะของประเทศไทยอย่างเดียว แต่เป็นชัยชนะของพี่น้องประชาชนด้วย ที่เขาเห็นแล้วว่าอยากให้ประเทศไทย การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต และต้องการรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องการเห็นประชาธิปไตยที่ไม่สะดุดลงเพราะการทำรัฐประหารโดยค่าเฉลี่ยแล้วทุกๆ 7-8 ปีในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่มีระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมา ก็คิดว่าไม่มีพื้นที่ตรงนั้นเหลืออยู่ในประเทศไทย

เรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าจังหวัดฯ

เป็นเรื่องสำคัญแต่ต้องมีการทำประชามติก่อนและการกระจายอำนาจ ส่วนใหญ่ทุกพรรคก็เห็นด้วย ซึ่งรายละเอียดก็มีอยู่ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน น้ำหนักทางการเมืองออกมาแล้ว ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมเจรจาของแต่ละพรรคพูดคุยกันว่าจะสามารถดำเนินเรื่องนี้ไปได้อย่างไร การทำงานของส่วนกลางระหว่างมหาดไทยไปถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นควรมีกระบวนการอย่างไรให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นขึ้น ต้องคุยรายละเอียดกันต่อไป

ให้ความสำคัญกับกระทรวงใดเป็นพิเศษ?

อย่างที่บอกจะทำตามโรดแมปตามนโยบายที่ได้เสนอไว้ แต่ละนโยบายไม่ใช่เป็นของกระทรวงเดียว ตัวอย่าง การแก้ไขปัญหาที่ดิน ต้องใช้ 8 กระทรวง ไม่ใช่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ดังนั้น ถ้าจะเอานโยบายไหน เรียงลำดับความสำคัญผ่านคณะกรรมการที่จะมีการพูดคุยกัน ถึงจะลงกระทรวงได้ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดขึ้นจริงเพราะต้องบริหารกันหลายกระทรวง ทั้งปัญหา PM2.5 ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในปีที่ผ่านมา ก็อาศัย 7-8 กระทรวง มี พ.ร.บ. เยอะแยะเต็มไปหมด

ควรเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง จากนั้นดูว่าต้องใช้ทรัพยากรใดบ้าง ใช้กระทรวงใดบ้าง มันถึงจะทำงานได้มีประสิทธิภาพจริงๆ กลับกัน ถ้าแค่เอากระทรวงเป็นตัวตั้ง แต่ลืมไปแล้วว่าเคยสัญญาอะไรกับพี่น้องประชาชน แล้วเกิดทำไม่ได้จริงๆ จะทำให้เสียทั้งประชาชนที่รออยู่และเสียทั้งฝั่งรัฐบาลด้วย

 

 

มาตรา 112

ทุกเรื่องยังไม่มีการพูดคุยรายละเอียดกับแต่ละพรรคในแต่ละนโยบาย แต่ที่ได้เคยยืนยันไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าการแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก การแก้ไข ม.112 ทำได้ในสภาและต้องใช้ สส. จำนวนหนึ่ง ตอนนี้พรรคก้าวไกลได้มา 151 ที่นั่งแล้ว ก็เกินแล้ว สามารถที่จะให้เกิดการพูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะเสียทีหนึ่งในรัฐสภา ทำอย่างละเมียดละไม รอบคอบ ฟังความคิดที่เห็นต่าง ใช้สภาเป็นตัวแก้ไข แต่ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าที่มากกว่าในเรื่องของการแก้ไข ม.112 ก็คือการทบทวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคดีทางการเมืองทั้งหมดและมีการพูดคุยถึงโอกาสในการนิรโทษกรรมทั้งหมด เพราะผมรู้สึกเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่

ถ้าจำไม่ผิดก็ประมาณ 10 กว่าคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างคุณหยกที่ได้พูดถึงไปนี่ก็อายุ 14 ขึ้นเป็น อายุ 15 ปี อยู่ในพื้นที่กักขัง เรื่องพวกนี้ถ้าไม่รีบพูดคุยกัน ไม่รีบทบทวนคดีกันก็อาจจะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ของการเมืองไทยที่ผมไม่ปรารถนาที่จะเห็นแบบนั้นครับ

คิดเห็นอย่างไร กรณีถือครองหุ้นไอทีวีหรือคดีต่างๆ ที่อาจจะเข้ามาแล้วทำให้เกิดอุปสรรค?

พิธายืนยัน ไม่กังวลใดๆ เราได้เตรียมตัวและชี้แจงไปหลายรอบ ก็คงต้องรอคำร้องจาก กกต. ว่ามีอย่างไรบ้าง ถ้ามีก็จะมีทั้งหลักฐาน หลักกฎหมาย และทีมงานกฎหมายที่เข้มข้นในการชี้แจงกับพี่น้องประชาชน ดังนั้นก็ขอเรียกความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่าไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้

ส่วนเรื่องความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติของสังคม ระบบที่แก้ไขความขัดแย้งได้ดีที่สุดก็คือระบบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงต้องเรียกคืนศรัทธาจากระบบรัฐสภาให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทำหลักนิติรัฐ นิติธรรมให้เข้มข้น ถ้าระบบดี การแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ในสังคม มันมีกระบวนการของมันอยู่ เพียงแต่ที่ผ่านมา เราไม่ยึดมั่นในระบบเดิมและบางครั้งก็รู้สึกว่า เราต้องเรียนทางลัดในทางการเมืองและหาวิธีอื่น จนเปิดโอกาสให้มีการรัฐประหารทุกๆ 7-8 ปีที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจไปต่อไม่ได้ ทำให้เราไม่มีสมาธิในการแก้ปัญหาการศึกษา สิ่งแวดล้อม เรื่องเกี่ยวกับ Digital disruption ที่เป็นปัญหาใหม่ๆ ของไทย ที่ยังไม่มีสมาธิในการแก้

เพราะฉะนั้นก็ยืนยันว่า เรื่องของความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ เรื่องของเสรีภาพในการแสดงออกเป็นเรื่องปกติ เราต้องสามารถที่จะรวบรวมความหลากหลายของพี่น้องประชาชนให้เป็นจุดแข็งของประเทศนี้ให้ได้ ด้วยความอดทนอดกลั้น ด้วยความมีวุฒิภาวะในการพูดจา ให้เวลาทำงานไป เพื่อที่จะให้ประเทศไทยมีสมาธิกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของศตวรรษที่ 21 ตอนนี้เรื่องปัญหาจากทั่วโลกค่อนข้างเข้มข้น ประเทศยังไม่มีโอกาสได้ฉวยโอกาสหรือทำศักยภาพของไทยให้ไปฉวยโอกาสเหล่านั้น และไม่สามารถที่จะป้องกันความท้าทายที่ถาโถมเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมาได้

กรณีที่อีกฝั่งหนึ่งจะเป็นฝ่ายค้านและกลับมาซักฟอกเรา?

มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่ใช่เรื่องของพรรคก้าวไกล แต่มันเป็นเรื่องของระบบที่แน่นอนว่ามันต้องมีการตรวจสอบ ก็พิสูจน์แล้วว่าเมื่อมีการยึดอำนาจและเป็นเผด็จการในช่วงที่ไม่มีการตรวจสอบใดๆ เลย ดัชนีคอรัปชั่นของไทยแย่ลงแค่ไหน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีระบบการตรวจสอบ ระบบ Check & Balance เพราะฉะนั้นก็ยินดีได้รับการตรวจสอบในทุกกรณี

พร้อมดูแลประชาชนทั้งคนที่เห็นด้วยและเห็นต่าง

พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจทุกคนรวมถึงน้องๆ ช่วงปฐมวัยด้วย เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ การทำให้ประเทศไทยมีอนาคตต่อไปได้ ถ้าเราไม่ลงทุนในมนุษย์ ไม่ลงทุนในคนไทยด้วยกันเองตั้งแต่วัยปฐมวัย ก็ชัดเจนว่าการทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้สามารถกลับไปสู่เวทีโลกได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงปฐมวัย ซึ่งนโยบายการศึกษาเราก็มีอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคืนครูให้ห้องเรียน ให้มีสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนเพราะว่าสิ่งที่เราบ่มเพาะในโรงเรียนทำให้เขาเป็นพลเมืองต่อมาในอนาคตของไทย เพราะฉะนั้นเขาเป็นกำลังสำคัญของชาติครับ

คิดว่าการกำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคือความสำเร็จสูงสุดแล้วหรือยัง?

ความสำเร็จสูงสุดของผมวัดได้เมื่อเราทำตามสัญญากับพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย กฎหมายที่พยายามจะผลักดัน เพราะเราเชื่อว่าเป็นทางรอดของประเทศไทยจริงๆ ไม่ใช่ทางเลือก เพราะประเทศไทยจะกระจุกตัวไม่ใช่กระจายออก จะเอาเศรษฐกิจแบบน้ำหยดจากบนลงล่าง ไม่ได้เข้มแข็งจากล่างขึ้นบนอีกต่อไปไม่ได้ เราจะหนีตัวออกจากระบบโลกไม่ได้ เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกที่มีสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียม มีวิธีคิดการทำงานที่ทำให้เราสามารถได้ประโยชน์จากโลกาภิวัตน์ใหม่ เพราะฉะนั้น 3-4 อันนี้จะสำเร็จได้เมื่อผมทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ

ก้าวไกลจะทำให้อนุรักษ์นิยมอ่อนแรงลงหรือแข็งแกร่งขึ้น?

ผมคิดว่าประชาชนได้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วนะครับว่าเขาต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้เชื่อว่าทางฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่อไป ก็มีโอกาสที่ได้ทำงานทางความคิด มีโอกาสที่จะรับฟังพูดคุยแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ผมก็คิดว่า หลายคนที่เราอาจจะเคยคิดในเรื่องการเมืองแบบง่ายเกินไปด้วยการเติมนามสกุลให้คนแต่ละคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยกมากมาย

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าการเมืองในโลกใบใหม่เป็นของอนุรักษ์นิยม หรือเสรีนิยม หรือซ้ายกับขวาต่อไป มันกลายเป็นเรื่องของ 1% กับ 99% แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราโฟกัสในลักษณะแบบนั้น โดยไม่ป้ายสีหรือถึงนามสกุลก่อนว่า ฝ่ายนี้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่พูดกันด้วยการมีวุฒิภาวะ อดทนอดกลั้น ให้เวลาในการทำงาน ผมก็คิดว่าคนที่อยู่ใน 99% ของประเทศไทย อดทนมานานกับปัญหาเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ทั้งในช่วง 17 ปี หรือ 10 ปีสุดท้ายก็ดี น่าจะสามารถที่จะพูดคุยกันได้และทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันครับ

พร้อมทำงานกับพี่น้องข้าราชการทุกคน

พิธายืนยันว่า ระบบราชการ ทุกคนที่ตั้งใจทำงานให้ประชาชนมีเยอะ ในการเป็น ส.ส. ตลอด 4 ปีในรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการ หรือกรรมาธิการงบประมาณก็ดีที่ได้เจอพี่น้องข้าราชการเกือบทุกหน่วยงานที่จะต้องมาเข้าสู่กรรมาธิการงบประมาณ ทุกคนก็ต้องการที่จะเห็นความหวังในประเทศนี้และต้องการทำงานเต็มที่อย่างที่เขาหวังไว้จะเป็นราชการ ไม่คิดว่าการทำงานกับพี่น้องข้าราชการจะเป็นปัญหาเลย เมื่อได้รัฐบาลที่ให้เกียรติเขาที่เข้าใจถึงความเสียสละและข้อจำกัดในการทำงานของเขา และสามารถที่อนุญาตให้เขาเป็นข้าราชการเพื่อพี่น้องประชาชนได้จริงๆ

ในส่วนของกองทัพ แน่นอนว่าเราเห็นผลการเลือกตั้งในเกือบทุกๆ ครั้ง ว่าถ้าเป็นพื้นที่ของพี่น้องทหาร เราไม่สามารถที่จะอนุมานเอาได้ ว่าถ้าเป็นฝั่งข้าราชการหรือกองทัพก็ดีก็จะกลายเป็นฝั่งตรงข้าม ผมเชื่อว่าเขาเป็นฝ่ายที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงมาก ไม่แพ้ใครในประเทศไทยและพร้อมที่จะอธิบายในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ พร้อมทำงานร่วมกับพี่น้องข้าราชการในทุกกระทรวง ทบวง กรม อธิบายให้เห็นความตั้งใจในการทำงาน รวมถึงพี่น้องทหารด้วยครับว่าเราอยากเห็นทหารทันสมัย กองทัพที่จิ๋วแต่แจ๋ว สามารถปกครองประเทศไทยจากอริราชศัตรูจากต่างประเทศ แต่ไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศครับ

ที่มา – Move Forward Party 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา