รวยแล้ว รวยอยู่ รวยต่อ ผลสำรวจ Oxfam พบ คนรวย รวยเพิ่มขึ้น คนจน จนเหมือนเดิม

รวยแล้ว รวยอยู่ รวยต่อ 

ผลสำรวจ Oxfam พบว่า ปี 2024 ที่ผ่านมา มหาเศรษฐีร่ำรวยเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 67 ล้านล้านบาท

คนรวย รวยขึ้นทุกวัน

สำหรับความร่ำรวยที่เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่ากับการร่ำรวยขึ้นราว 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน เร็วกว่าปีก่อนหน้าถึง 3 เท่า ถือเป็นค่าเฉลี่ยใหม่ของเศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นทุกสัปดาห์ 

ปีที่แล้วถือเป็นปีที่เศรษฐีมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่เป็นอันดับสองนับตั้งแต่เก็บข้อมูลมา ขณะที่คนยากจนนั้น ยังยากจนต่อไป ฐานะแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990

ความร่ำรวยที่เพิ่มขึ้นในปี 2024 ที่ผ่านมานี้ ส่วนใหญ่ รวยขึ้นจากมรดกและเครือข่ายของที่ตัวเองที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยปี 2024 มีเศรษฐีรวยเพิ่มจำนวนมากขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 2,565 คนในปี 2023 เพิ่มเป็น 2,769 คนในปี 2024

เวลาผ่านไปแค่ 12 เดือน ความมั่งคั่งดังกล่าวขยายเพิ่มขึ้นจาก 13 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเป็น 15 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ถ้าให้เทียบระดับความร่ำรวย พบว่า คนที่รวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก รวยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 100 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,367 ล้านบาทต่อวัน แม้ว่าจะสูญเสียความมั่งคั่งถึง 99% ภายในคืนเดียวก็ถือว่ายังเป็นบุคคลที่มั่งคั่งร่ำรวยอยู่

ข้อมูลจาก World Bank ยังพบว่า คนร่ำรวยที่สุดในโลก 1% มีความมั่งคั่งที่ครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดเกือบ 45% ขณะที่คนที่ยากไร้ มีชีวิตอยู่ต่ำกว่าเส้นยากจนมีมากถึง 44% การมีชีวิตที่ต่ำกว่าเส้นยากจนที่ว่าคือคนที่มีชีวิตอยู่ได้ในระดับ 6.85 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 230 บาทต่อวัน

Oxfam

คนยากจนในไทยมีอยู่มาก และนี่คือจำนวนที่สามารถบันทึกได้

สำหรับเส้นแบ่งความยากจนของประเทศไทย พบว่า ปี 2021 ที่ผ่านมา มีเส้นแบ่งความยากจนในกลุ่มคนที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงระดับล่างอยู่ที่ 49.5 บาท ต่อวัน ต่อคน มีจำนวนประมาณ 4 แสนคน หรือประมาณ 0.6%

ขณะที่เส้นแบ่งความยากจนของคนไทยรายได้ปานกลางระดับบน ปี 2021 เช่นเดียวกัน มีรายได้อยู่ที่ 93 บาท ต่อวัน ต่อคน มีจำนวนประมาณ 8.7 ล้านคน หรือประมาณ 12.2%

เหล่าคนรวยที่รวยเพิ่มขึ้นจากเครือข่ายของตัวเอง จากการผูกขาดทางอำนาจ และจากมรดกนี้ยิ่งมีอิทธิพลขยายใหญ่มากขึ้นเหนืออุตสาหกรรมและความคิดเห็นของประชาชน

กลุ่มคนรวยที่มารวมตัวกันที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ (การประชุมที่ World Economic Forum) มีมหาเศรษฐีอย่าง Donald Trump ที่หนุนหลังโดยมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกอย่าง Elon Musk จนได้รับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีและเข้าพิธีสาบานตนไปแล้วเรียบร้อยนั้น Amitabh Behar ผู้อำนวยการบริหาร Oxfam ระบุว่า มีคนไม่กี่คนที่ได้สิทธิ์ครอบครองเศรษฐกิจโลก ร่ำรวยจนไม่สามารถจินตนาการตามได้

มันไม่ใช่แค่ความล้มเหลวที่จะพยายามหยุดยั้งไม่ให้เศรษฐีร่ำรวยต่อไปอีก แต่มันทำให้พวกเขาสั่งสมทุนอย่างมหาศาลมากขึ้นถึง 3 เท่า และมันไม่ใช่แค่ระดับความร่ำรวยที่เพิ่มมากขึ้น แต่มันรวมถึงอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นด้วย

การออกรายงานฉบับนี้ของ Oxfam เกิดขึ้นก็เพื่อทำให้ผู้คนตระหนักว่า ชีวิตของพวกเรากำลังถูกบดขยี้ด้วยกลุ่มคนแค่ไม่กี่คน โลกนี้มี Donald Trum เป็นประธานาธิบดีมหาเศรษฐี ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างถล่มทลายจากมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกอย่าง Elon Musk กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

รายงานฉบับนี้กำลังสะท้อนให้เห็นว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยของเหล่าเศรษฐี ราว 60% นั้น เป็นการร่ำรวยมาจากการได้รับมรดก การผูกขาดอำนาจ และมาจากสายสัมพันธ์ของพวกพ้อง ความมั่งคั่งไม่ได้มาจากการทำงานหรือการไล่ล่าอาณานิคม

จากการคำนวณของ Oxfam พบว่า 36% ของเหล่าเศรษฐีได้รับความร่ำรวยมาจากมรดกของบรรพบุรุษ ขณะที่งานวิจัยจาก Forbes พบว่า เหล่าเศรษฐีที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ล้วนร่ำรวยจากมรดกตกทอด ขณะที่ UBS ประเมินว่า บรรดาเศรษฐีในปัจจันที่มีมากกว่า 1,000 คน จะส่งต่อความมั่งคั่งให้กับทายาทของพวกเขามากกว่า 5.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 175 ล้านล้านบาท ภายใน 20-30 ปีข้างหน้านี้

แน่นอนว่า ไม่ได้มีเศรษฐีที่ร่ำรวยจากมรดก การผูกขาด และพวกพ้องเท่านั้น ผลจากการล่าอาณานิคมในอดีตก็ส่งผลต่อความร่ำรวยในปัจจุบัน

ความร่ำรวยจากการล่าอาณานิคมเก่า สู่ยุคล่าอาณานิคมใหม่

เศรษฐียุโรปที่ร่ำรวย ส่วนหนึ่งก็มาจากการล่าอาณานิคม ประเทศเจ้าอาณานิคมขูดรีดประเทศที่ยากจนกว่า ตัวอย่างจากเศรษฐี Vincen Bolloré ที่ร่ำรวยจากการสร้างอาณาจักรสื่อและช่วยหนุนหลังให้กลุ่มชาตินิยมในฝรั่งเศส นี่ก็มีความร่ำรวยส่วนหนึ่งจากการล่าอาณานิคมในแอฟริกา

ปัจจุบัน คนที่ร่ำรวยที่สุด 1% อยู่ในประเทศทางตอนเหนือของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สามารถทำเงินได้ราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อชั่วโมงจากประเทศทางตอนใต้ของโลกผ่านระบบการเงินในปี 2023

ประเทศที่ร่ำรวยทางตอนเหนือของโลก สามารถควบคุมความมั่งคั่งของโลกได้ 69% ครอบครองความมั่งคั่งจากทรัพย์สินได้ 77% และเป็นที่อยู่อาศัยให้เหล่าบรรดาเศรษฐีถึง 68% ความร่ำรวยที่มหาศาลนี้คิดเป็น 21% ของจำนวนประชากรโลก

ประเทศที่มีรายได้ปานกลางและมีรายได้น้อยใช้จ่ายเงินเฉลี่ยเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ประเทศหมดไปกับการชำระหนี้ 

ค่าจ้างของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาของโลกทางตอนใต้ต่ำกว่าค่าจ้างของโลกทางตอนเหนือมากถึง 87%-95% ทั้งที่มีทักษะเท่าเทียมกัน แม้ว่ากลุ่มแรงงานในประเทศกำลังพัฒนากำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกถึง 90% แต่แรงงานในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางและกลุ่มประเทศที่มีรายได้น้อยกลับได้รับรายได้เพียง 21% ของรายได้โลก

นอกจากนี้ ข้อมูลจากทั่วโลกยังพบอีกว่า บ่อยครั้งผู้หญิงถูกมองว่าเป็นกลุ่มแรงงานที่เปราะบางที่สุด ซึ่งก็เป็นกลุ่มผู้หญิงที่ทำงานบ้านมากกว่าผู้ชาย แรงงานอพยพก็มีรายได้เฉลี่ยน้อยกว่าแรงงานในชาติราว 13% แถมช่องว่างทางรายได้ยังเพิ่มขึ้นสำหรับแรงงานผู้หญิงที่อพยพเข้ามาถึง 21%

คนที่ร่ำรวยอย่างมหาศาลมักจะบอกกับผู้คนว่า ถ้าอยากรวย พวกคุณต้องอาศัยทักษะ ความอดทน และทำงานอย่างหนัก แต่ความจริงที่เป็นอยู่ก็คือ ความมั่งคั่งที่พวกเขาได้มา มักไม่ได้มาจากการร่ำรวยด้วยการสร้างฐานะด้วยตัวเอง แต่เป็นทรัพย์สินอย่างมหาศาลที่ส่งต่อกันเองหลายชั่วอายุคนในครอบครัวของตัวเอง

จัดการคนรวย ช่วยเหลือคนจนและประเทศทางตอนใต้

องค์การ Oxfam เรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม และความร่ำรวยอย่างมหาศาลนี้อย่างเร่งด่วน ดังนี้

รัฐบาลต้องเดินหน้าทำให้แน่ใจ่า รายได้ของคนราว 10% ที่เป็นคนร่ำรวยอยู่บนยอดบนสุด จะไม่สูงกว่ารายได้ของคน 40% ที่มีรายได้น้อยสุด จากข้อมูล World Bank พบว่า ความเหลื่อมล้ำอาจยุติได้เร็วถึง 3 เท่า แต่รับบาลต้องจัดการการขูดรีดทางเศรษฐกิจที่ยังดำเนินอยู่

Tax the richest! เก็บภาษีคนรวยซะ คนร่ำรวยทั้งหลายต้องจ่ายภาษีอย่างเป็นธรรม ทำลาย Tax havens ของเหล่าภาษีซะ จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า คนรวยประมาณครึ่งหนึ่งของโลกนี้อาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่มีการเก็บภาษีมรดก จำเป็นต้องเก็บภาษีเพื่อล้มล้างชนชั้นสูงใหม่

ยุติการไหลเวียนความมั่งคั่งจากโลกทางตอนใต้สู่โลกทางตอนเหนือ ยกเลิกหนี้สินและยุติการครอบงำของตลาดจากประเทศที่ร่ำรวยและบริษัทต่างๆ ที่มีอำนาจเหนือตลาดและการค้า ยุติการผูกขาด ทำให้กฎสิทธิบัตรเป็นประชาธิปไตย ปรับโครงสร้างอำนาจใน World Bank, IMF และ UNSC เพื่อการันตีความเท่าเทียมให้แก่ประเทศในโลกทางตอนใต้

ที่มา – Oxfam, CNBC, World Bank

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา