Ecommerce ไม่ได้ทำลายแค่ห้างค้าปลีก แต่นักลงทุนก็อาจไม่ได้เงินคืนกว่า 48,000 ล้านดอลลาร์

Ecommerce เข้ามามีมบทบาทกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ถล่มตลาดค้าปลีกดั้งเดิมจนราบเป็นหน้ากลอง อ้างอิงจากยอดขายในช่วง Black Friday ในปี 2559 ที่ฝั่ง Online เติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 กว่า 22% คิดเป็นมูลค่า 3,340 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ฝั่งค้าปลีกดั้งเดิมกลับมีตัวเลขลดลงราว 5%

ภาพ pixabay.com

ขณะเดียวกันเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าค้าปลีกในสหรัฐจะอยู่ยากขึ้น โดยภายในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า ค้าปลีกครึ่งหนึ่งในสหรัฐจะปิดตัว หรือไม่ก็ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากในการเลี้ยงธุรกิจที่อยู่รอด แต่นั่นแค่โดมิโน่ตัวแรก เพราะกลุ่มที่จะมีปัญหาต่อไปคือสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อแก่ค้าปลีกเหล่านั้น

CMBS หรือ Commercial Mortgage-Backed Securities ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ดี เพราะเป็นตราสารการเงินที่ให้ผู้สนใจมาลงทุนร่วมกันปล่อยสินเชื่อให้กับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ย และเงินต้นจากผู้พัฒนาโครงการที่กู้จากสถาบันการเงินไป

โดยกรณีของ CMBS นั้นเกิดกับ JCPenney หนึ่งในห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ในสหรัฐที่เตรียมเปิดสาขา 140 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทจัดเรตติ้งอย่าง Morningstar Credit Rating พบว่ามี 39 สาขาที่ต้องปิดแน่นอน แต่ที่มากกว่านั้นคือเจอเงินกู้อีกกว่า 7,300 ล้านบาทที่ต้องรอชำระ และน่าจะกลับมาที่สถาบันการเงินได้ยาก เพราะหาผู้เช่ารายใหญ่ตอนนี้แทบเป็นไปไม่ได้

ไม่ได้มีแค่รายเดียว นักลงทุนเจ็บหนักแน่

อย่างไรก็ตาม JCPenney ไม่ได้เป็นห้างสรรพสินค้ารายเดียวที่มีแผนปิดสาขา แต่ยังมี Macy’s และ Sears ที่มีแผนดังกล่าวด้วย ซึ่งห้างเหล่านี้ก็ได้สินเชื่อในรูปแบบ CMBS เช่นเดียวกัน ดังนั้นนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในกองเหล่านี้ น่าจะประสบปัญหากันไม่มากก็น้อย

โดยทาง Morningstar คาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินถึง 48,000 ล้านดอลลาร์ที่ห้างค้าปลีกเหล่านี้ได้รับสินเชื่อมา และมันค่อนข้างเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เสียอีกด้วย

อ้างอิง // The shopping mall apocalypse is creating a $48 billion disaster on Wall Street

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา