MBS เจ้าชายแห่งซาอุฯ ไม่แคร์ ถ้าใครจะมองว่าใช้กีฬาฟอกขาวประเทศ อยากเรียกอะไรก็เชิญ

เจ้าชายแห่งซาอุฯ MBS ไม่แคร์! ถ้าใครจะมองว่าทำกีฬาเพื่อฟอกขาวประเทศ 

เจ้าชายแห่งซาอุดิอาระเบีย โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน หรือ MBS เจ้าของสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล ยูไนเต็ม ทีมฟุตบอลที่มีมูลค่ามหาศาลถึง 300 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท

MBS Mohammed Bin Salman Saudi Arabia crown prince


เจ้าชาย MBS บอกไม่สนใจ ถ้าใครจะมองว่าการทำทีมฟุตบอล คือการหาทางใช้โอกาสเอาทีมฟุตบอลบังหน้า เพื่อฟอกขาวประเทศ หรือพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนด้านสิทธิมนุษยชนมาที่เรื่องกีฬาแทน

MBS กล่าวว่า ถ้าการใช้ทีมกีฬาฟอกขาวประเทศ แล้วมันเพิ่ม GDP ให้ประเทศได้สัก 1% ผมก็จะทำต่อไป และจะเพิ่มให้มากขึ้นจาก 1% เป็น 1.5% ด้วย จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่พวกคุณเถอะ

ด้านองค์การสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch: HRW) ได้ยินการแสดงความคิดเห็นดังกล่าว ก็โต้กลับทันทีว่า การแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ของ MBS เท่ากับว่า เขากำลังใช้เกมกีฬามาปิดบังเรื่องที่ประเทศเขาละเมิดสิทธิมนุษยชนจริงๆ โดย Minky Wordon ผู้อำนวยการ HRW ระบุว่า “เขาทำมากกว่าที่เขาพูดเสียอีก”

Minky กล่าวว่า การลงทุนฟอกขาวประเทศด้วยกีฬาครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก และแม้จะทุ่มเงินมากสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถปิดบังจำนวนศพคนตายที่ถูกสังหารนับร้อยรายได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้อพยพไร้อาวุธ การจับผู้สนับสนุนและเรียกร้องสิทธิสตรีขังคุก ไปจนถึงการสังหารนักข่าว Jamal Kashoggi เมื่อปี 2018 ที่สถานกงสุลซาอุดีอาระเบียที่อิสตันบูล

ด้านกลุ่ม NUFC แฟนคลับของทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ดต่างก็ออกมาคัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวของเจ้าชายและยังทวีตข้อความลง X (ทวิตเตอร์) ด้วยว่า ถ้า MBS ไม่แคร์คำกล่าวหาที่ว่าพยายามฟอกขาวประเทศจริง แล้วทำไมต้องทุ่มทุนจ่ายทั้งค่าพีอาร์ ทั้งค่าตัวทีมฟุตบอลด้วย

CNBC รายงานว่า ซาอุดิอาระเบียใช้ Sovereign Wealth Fund หรือ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ หรือ PIF เข้าซื้อทีมฟุตบอลนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดในปี 2021 และมีการรายงานด้วยว่ามูลค่าการซื้ออยู่ที่ 409 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.48 หมื่นล้านบาท ซึ่งองค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) เรียกการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ MBS ว่าเป็น เครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ของประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักหน่วง รุนแรง

ขณะที่นักเขียนและนักเคลื่อนไหวอย่าง Andrew Feinstein ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Shadow World: Inside the Global Arms Trade” ก็ทวีตข้อความว่า MBS บอกว่าไม่แคร์เรื่อง Sportswashing หรือ ไม่แคร์เรื่องการใช้กีฬาฟอกขาวประเทศ เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเรื่องนี้หรอก ตรงกันข้าม การพยายามจะฟอกขาวประเทศด้วยการทุ่มเงินแสนแพงทั้งจากการคอร์รัปชั่น การเกลียดชังผู้หญิงของพวกโฮโมโฟเบียทำให้เขาโกรธอย่างเห็นได้ชัด

โดยเจ้าชายให้สัมภาษณ์สื่อประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในราชอาณาจักรว่า มันเป็นเพราะบ้านเมืองมีกฎหมายที่ไม่ดี แม้เจ้าชายจะทรงไม่ชอบกฎหมายดังกล่าว แต่ก็มิอาจแทรกแซงระบบตุลาการได้ ขณะที่ผู้สังเกตการณ์และเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในซาอุดิอาระเบีย ระบุว่า อำนาจของเจ้าชายนั้นแทบจะเป็นอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่แล้ว ถ้าจะเปลี่ยนแปลงเรื่องใดก็สามารถทำได้แค่ปลายปากกาเท่านั้น

ซาอุดิอาระเบียไม่ได้ลงทุนเฉพาะกีฬาฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังมีกีฬาชกมวย กีฬากอล์ฟ และกีฬาแข่งรถด้วย

เจ้าชาย MBS ในวัย 38 ปีได้ริเริ่มแนวทางเสรีนิยมหลายด้านด้วยกันนับตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจ เปิดให้เรื่องที่ถูกห้าม กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ อาทิ ห้ามผู้หญิงขับรถหรือห้ามห้ามให้มีการจัดฉายหนังในโรงภาพยนตร์หรือห้ามให้มีคอนเสิร์ต แต่นักรณรงค์เพื่อเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมองว่า สิ่งสำคัญที่ MBS ทำคือการปราบปรามหรือจับกุมคุมขังผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองต่างหาก

ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม ครูชาวซาอุดิอาระเบียวัย 54 ปีก็ถูกตัดสินประหารชีวิตหลังจัดกิจกรรมใน Youtube และทวิตเตอร์ ซึ่งรัฐบาลก็เคยมองว่า ทวิตเตอร์เป็นบ่อนทำลายที่คุกคามซาอุดิอาระเบียด้วย นักกิจกรรมที่เป็นผู้หญิงหลายคนก็ถูกจับกุมคุมขังหลายสิบปีเพียงเพราะแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายของซาอุฯ บนโซเชียลมีเดีย

องค์การนิรโทษกรรมสากลรายงานว่า ปี 2022 ซาอุดิอาระเบียมีการควบคุมและประหารชีวิตสูงที่สุดในรอบ 30 ปี มีผู้เสียชีวิตมากถึง 196 ราย

ที่มา – CNBC, The Guardian

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา