ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลี เซียนลุง เปิดแผนรับมือ COVID-19 การแพทย์ เศรษฐกิจ จิตวิทยา

ลี เซียน ลุง (Lee Hsien Loong) ผู้นำสิงคโปร์ กล่าวว่า 5 สัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเคยพูดเรื่อง COVID-19 ไปแล้ว เขาบอกว่า มันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องมาอัพเดตสถานการณ์กับประชาชนอีกที เขาบอกว่ามันมี 3 มิติที่เกี่ยวกับ COVID-19 คือ การแพทย์ เศรษฐกิจ และจิตวิทยา 

ในทางการแพทย์ เราจะเห็นคนติดเชื้อใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในสิงคโปร์ ส่วนใหญ่ที่พบเชื้อนี้ เกิดจากการเดินทางไปต่างประเทศ เราสามารถติดตามย้อนหลังได้ว่าเขาติดเชื้อโควิด-19 มาได้อย่างไร เรามักจะแยกเขาออกไปให้อยู่ลำพัง สืบดูย้อนหลังว่าติดเชื้อยังไง และกักกันโรคผู้ที่เข้ามาเกี่ยวพันใกล้ชิดด้วย

ด้วยเหตุนี้ จำนวนของผู้ติดเชื้อจึงไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ในจีน ตัวเลขของผู้ติดเชื้อเริ่มทรงตัว แต่ผู้ติดเชื้อใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งในยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง ทั่วโลกมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากทุก 5-7 วัน

Lee Hsien Loong นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ภาพจาก Lee Hsien Loong

เมื่อ WHO ประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคระบาดระดับโลก มันหมายความว่ายังไง? มันหมายความว่า WHO ประเมินแล้วว่าหลายๆ ประเทศผู้คนสามารถติดเชื้อได้ และผู้ติดเชื้อจะเพิ่มจำนวนมหาศาล อย่างที่เราเห็นจำนวนคนติดเชื้อทั้งในเกาหลีใต้และอิตาลี มันไม่เหมือนโรคซาร์ส โรคระบาดนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน อาจจะหนึ่งปี หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น 

สิ่งที่ WHO บอกเราว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไวรัสนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วก็คือ หลายๆ ประเทศไม่ให้ความสำคัญกับสถานการณ์มากพอ สิ่งที่ WHO ทำเรียกว่าเป็นการปลุกความเฉื่อยชาที่หลายประเทศรับมืออยู่

สำหรับที่นี่ สิงคโปร์ เรารับมือกับ COVID-19 อย่างจริงจังระดับสูงสุด ตามข้อเท็จจริงที่ WHO ก็เคยชื่นชมกับความพยายามของเรา เราจริงจังกับเรื่องนี้ เรารับมือกับเชื้อโควิด-19 ที่แพร่ระบาดเข้ามาในประเทศ ด้วยการจำกัดการเดินทางที่มาจากจีน อิหร่าน เกาหลีใต้ อิตาลี เราต้องทำให้มันรัดกุมชั่วคราวก่อน แต่เราก็ไม่สามารถปิดตัวเองออกจากโลกได้อย่างสมบูรณ์ เราจะทำอะไรได้อีกบ้าง?

Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO
Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO

ประการที่หนึ่ง โควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกนาน สิ่งที่เราต้องทำเป็นมาตรฐานเลยคือการพยายามรักษาสุขพลานามัยของตัวเอง ปรับให้เป็นมาตรฐานสังคม พยายามอยู่ให้ห่างจากคนอื่น นี่คือสาเหตุว่าทำไมเราต้องลดกิจกรรมที่ต้องมีการพบปะสังสรรค์กัน โดยเฉพาะผู้อาวุโสทั้งหลาย เราสามารถทำได้อีก

เช่น กิจกรรมทางศาสนา ในเกาหลีใต้ ที่มีการติดเชื้อในโบสถ์ Shincheonji ในสิงคโปร์ มีอยู่ 2 เคสใหญ่ๆ ที่ติดเชื้อจากการรวมกลุ่มทางศาสนา คนสิงคโปร์หลายๆ คนไปรวมกลุ่มทางศาสนาขนาดใหญ่ ที่เป็นการฟื้นฟูจิตใจร่วมกัน (tabligh gathering เรียกว่า ญะมาอัตตับลีฆ) ในกัวลาลัมเปอร์ (มาเลเซีย) มีการแพร่เชื้อจากการไอไปเมื่อไม่นานนี้

ประเด็นก็คือ เราไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ศาสนา แต่ไวรัสมันสามารถแพร่เชื้อได้ไวต่อคนอื่นในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่นเช่นเดียวกับการไปรวมตัวเพื่อทำกิจกรรมทางศาสนา นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ซาอุดิอาระเบียจึงหยุดอุมเราะห์ (UMRAH หรือการเดินทางไปแสวงบุญและปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะฮ์) ด้วยเหตุนี้ โป๊ปจึงเทศนาผ่านการไลฟ์เพื่อหลีกเลี่ยงการมารวมตัวกันของผู้คนที่จตุรัสเซนต์ ปีเตอร์

ผมหวังว่า ชาวสิงคโปร์จะเข้าใจ ช่วงนี้ เราจำเป็นต้องลดกิจกรรมทางศาสนาลง เพื่อลดจำนวนคนมารวมตัวกันหนาแน่น กรุณาทำเช่นนี้ร่วมกับผู้นำศาสนาเพื่อปรับเปลี่ยนเสียเถิด

ประการที่สอง เราจำเป็นต้องวางแผนความเป็นไปได้ที่ไวรัส COVID-19 จะระบาดขึ้นมาอีก มันจะเพิ่มจำนวนมหาศาล ถ้ามันเกิดขึ้น เราไม่สามารถทำให้ทุกคนเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลและแยกตัวผู้ติดเชื้อได้ทุกเคส เหมือนกับที่เราทำอยู่ตอนนี้ แต่เรารู้ว่า คนป่วยส่วนใหญ่ราว 80% มีอาการเล็กน้อย คนที่มีความเสี่ยงส่วนใหญ่คือผู้สูงวัย

คนที่จะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลคือคนที่มีอาการหนัก ส่วนคนที่มีอาการไม่มากก็ให้ตรวจรักษาและพักอยู่บ้านตัวเอง แยกตัวเองไปอยู่ลำพัง เราจะให้ความสำคัญกับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ดูแล และทำให้จำนวนคนเสียชีวิตลดลง ขณะเดียวกัน เราจะขยายศักยภาพโรงพยาบาลในการเตรียมห้อง ICU เตรียมเตียงไว้ สำหรับกรณีที่คนป่วยเพิ่มมากขึ้น 

เพื่อความมั่นใจ ชาวสิงคโปร์ท่านใดก็ตามที่ต้องการรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเกิดจากโควิด-19 หรือป่วยเพราะสาเหตุอื่น ก็จะได้รับการดูแลเช่นกัน นอกเหนือจากแผนทางการแพทย์แล้ว ถ้ามันจะเกิดสถานการณ์ที่ทำให้จำนวนคนติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น เราจำเป็นต้องใช้มาตรการเพิ่มเติม คือการอยู่ให้ห่างจากสังคม ไม่อยู่รวมกันเยอะๆ ซึ่งเป็นมาตรการชั่วคราว

เช่น การปิดโรงเรียน การลดชั่วโมงการทำงาน ใช้การสื่อสารทางเทคโนโลยีที่จำเป็น มันควรจะ “หยุดมากกว่าปกติ” เมื่อเราเห็นว่าจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น การหยุดมากกว่าปกติ จะช่วยลดการแพร่เชื้อของไวรัส ช่วยป้องกัน และทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง หลังจากสถานการณ์ดีขึ้น เราก็ค่อยกลับมาสู่มาตรฐานการเฝ้าระวังแบบเดิมได้ 

ผมอยากจะย้ำว่า สถานการณ์โควิด-19 ระบาดในสิงคโปร์นั้นยังสามารถควบคุมได้อยู่ เรายังไม่ยกระดับการเตือนภัยความเสี่ยงจากโควิด-19 เป็นระดับสูงสุด (DORSCON Red ระดับความเสี่ยงสูงสุดคือระดับสีแดง)

เราจะไม่ปิดเมืองเหมือนที่คนจีน คนเกาหลีใต้ หรือคนอิตาเลียนได้เผชิญมาแล้ว มันอาจจะเป็นแผนการต่อไปถ้ามันจำเป็นต้องทำ 

สิ่งที่เรากังวลต่อจากนี้คือผลกระทบทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจเราได้รับผลกระทบหนักหน่วง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราต้องใช้เงินมากถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 1.2 แสนล้านบาท) เพื่อประคองสถานการณ์ในเดือนที่ผ่านมา เพื่อช่วยธุรกิจต่างๆ ช่วยแรงงาน ช่วยครัวเรือนในการรับมืออย่างทันท่วงที นี่สามารถช่วยได้ แต่ไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด

เรารู้ว่าเราอาจจะทำเพิ่มอีก สถานการณ์เช่นนี้กระทบบางภาคส่วนอย่างรุนแรง ธุรกิจโรงแรม สายการบิน การแพทย์ และฟรีแลนซ์ภายใต้ gig economy (การรับจ้างทำงานชั่วคราว) ทุกคนรู้สึกว่าได้รับผลกระทบหมดในระดับที่แตกต่างกัน

รัฐบาลกำลังเตรียมมาตรการที่สองที่จะให้ความช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในเรื่องของต้นทุน ในเรื่องของกระแสเงินสด เพื่อให้พวกเขาผ่านพายุลูกนี้ไปให้ได้ เราจะช่วยให้คนทำงานของเรายังรักษางานไว้ได้ จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ เราจะให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ตกงานที่ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อทำให้ครอบครัวของพวกเขาอยู่ได้ในช่วงที่ยากลำบาก

ผมบอกแผนเหล่านี้ให้คุณได้รู้เพื่อที่จะเกิดความมั่นใจว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุด ส่วนเรื่องการแพทย์และเศรษฐกิจนั้น เรามั่นใจว่าเราจัดการได้ สิ่งที่ยากในลำดับต่อมา คือการต่อสู้ทางจิตวิทยา ด่านหน้าของเราทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้สิงคโปร์ขับเคลื่อนต่อไปได้ เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ขนส่งสาธารณะ คนขับรถแท็กซี่ พนักงานทำความสะอาด

ชาวสิงคโปร์ยังให้กำลังใจพวกเขาต่อไป

ในส่วนของรัฐบาล เราพยายามเปิดให้เห็นแผนการที่โปร่งใส ชาวสิงคโปร์ก็ควรจะช่วยกัน ใส่หน้ากากอนามัย ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดี ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารในซุปเปอร์มาร์เก็ต ขอให้ยอมรับมาตรการที่สร้างความมั่นใจเหล่านี้ และจงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองเสีย

คนสิงคโปร์ ภาพจาก MCI Photo by Lee Hsien Loong

ผมรู้สึกภูมิใจมากที่ชาวสิงคโปร์รับมือกันอย่างสงบและรับผิดชอบต่อสังคม ขอบคุณที่ให้ความเชื่อมั่นและให้การสนับสนุน สิงคโปร์ได้รับเกียรติจากนานาชาติ เรายืดหยุ่นต่อกัน สิ่งนี้ทำให้สิงคโปร์แตกต่างจากประเทศอื่น เราเชื่อมั่นในกันและกัน เรารู้สึกว่าเราร่วมอยู่ในสถานการณ์เดียวกันและเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเราเฝ้าระมัดระวังร่วมกัน เราจะสามารถปกป้องตัวเราเองและครอบครัวของเราได้ เราจะทำให้เศรษฐกิจเราได้ไปต่อ วิกฤตนี้ ทุกคนมีบทบาทร่วมกัน ผมหวังว่าคุณจะร่วมรับมือวิกฤตนี้ไปกับผมและเพื่อนร่วมงานของผมได้ เพื่อให้ครอบครัวของเราปลอดภัย ทำให้สิงคโปร์ปลอดภัย แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ขอบคุณครับ

ที่มา – Prime Minister’s Office, Singapore

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา