KPMG ชี้การรวมกิจการในอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผลสำรวจผู้บริหารระบุ จำนวนตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว และระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) จะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ของรถยนต์

ผู้บริหารในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกลงความเห็นว่า การรวมกิจการ (Consolidation) ในอุตสาหกรรมดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว หากผู้เล่นเดิมต้องการเอาชนะบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ ที่เข้ามาเป็นคู่แข่งในตลาดรถยนต์ และผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับโรงงานประกอบรถยนต์ (Original Equipment Manufacturer – OEM) ทั้งหลายจำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการแข่งขันและการร่วมมือกัน เพื่อรับมือกับคู่แข่งด้านดิจิทัลที่เข้ามาสู่แวดวงยานยนต์อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ รายงาน KPMG Global Automotive Executive Survey ประจำปี ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นครั้งที่ 19 ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารในอุตสาหกรรมยานยนต์และเทคโนโลยีรวม 900 คน และลูกค้าอีกกว่า 2,100 คนทั่วโลก พบข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ ที่น่าสนใจดังนี้

—   74% ของผู้บริหารเชื่อว่า สัดส่วนการผลิตรถยนต์ในยุโรปตะวันตกจะลดลงเหลือน้อยกว่า 5% ภายในปี 2030 โดยการผลิตส่วนใหญ่จะถูกย้ายมาที่ทวีปเอเชีย

—   ผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่า จำนวนศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เกือบ 50% จะปิดตัวลงภายในปี 2025

—   ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) ในการตัดสินใจซื้อรถ และคาดหวังให้ระบบรักษาความปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์มาตรฐานยานยนต์

—   เทรนด์การผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของปีนี้จะเปลี่ยนจากรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV)

ดีเตอร์ เบกเคอร์ ประธานฝ่ายอุตสาหกรรมยานยนต์ เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล  กล่าวว่า “บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายมีความแข็งแกร่งทางการเงินที่โดดเด่นกว่าค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายค่าย โดยบริษัทยานยนต์รายใหญ่ 50 ราย มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมกันคิดเป็นเพียง 20% ของมูลค่ารวมตามราคาตลาดของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด 15 ราย จากที่เคยมีมูลค่ารวมคิดเป็น 40% (จากเกณฑ์เดียวกัน) ในปี 2010  ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมีศักยภาพทางการเงินที่เหนือชั้นกว่ามาก และสำหรับผู้ผลิตยานยนต์ที่เน้นปริมาณฐานลูกค้า การสร้างพันธมิตรถือเป็นกุญแจสำคัญในการเอาตัวรอดจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ และแม้จะอยู่ในสถานะที่ดีกว่า ซัพพลายเออร์ที่เน้นตลาดบนต่างตระหนักดีถึงสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งเป็นผลให้เกิดแนวคิดการให้บริการร่วมกัน อาทิ การให้บริการแผนที่หรือสถานีชาร์จรถไฟฟ้า”

จำนวนผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างรวดเร็ว

เกินครึ่งของผู้บริหาร (56%) ค่อนข้างมั่นใจว่า จำนวนตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มีแนวโน้มที่จะลดลงกว่า 30% ถึง 50% ภายในปี 2025 ดีเตอร์ เบกเคอร์ เปิดเผยว่า “ผู้บริหารเกือบ 80% เชื่อว่า หนทางเดียวที่จะทำให้ตัวแทนจำหน่ายอยู่รอด คือการปรับโครงสร้างของตัวแทนจำหน่ายให้เป็นศูนย์บริการหรือศูนย์ธุรกิจรถยนต์มือสอง”

ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในอนาคต

ผู้บริหารกว่า 80% เชื่อว่า ข้อมูลการใช้รถและข้อมูลของผู้ขับขี่จะเป็นองค์ประกอบหลักของรูปแบบธุรกิจในอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ดังนั้น คำว่า ‘เครื่องมือมาตรฐาน’ จำเป็นต้องได้รับการนิยามใหม่ โดยผู้บริหารกว่า 85% และลูกค้ากว่า 75% คิดว่า ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และความปลอดภัยของข้อมูลจะเป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการซื้อรถยนต์ในอนาคต

รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ไม่ได้เป็นหนทางเพียงหนึ่งเดียวที่จะพัฒนาต่อไป

ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกจะสร้างยอดการผลิตได้มากกว่า 100 ล้านคันก่อนสิ้นศตวรรษนี้ ขณะที่ปัจจุบันมีการผลิตรถยนต์กว่า 3,000 รุ่นที่แตกต่างกันในโรงงานมากกว่า 700 แห่ง แต่ในจำนวนนั้นเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่แท้จริงเพียงแค่ 2% ดีเตอร์ เบกเคอร์ กล่าวว่า “แม้เราจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับความก้าวหน้าของอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยพลังงานไฟฟ้า (E-Mobility) แต่ในอนาคต รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่ใช่ยานพาหนะชนิดเดียวที่ขับเคลื่อนอยู่บนถนน และระบบส่งกำลังรถยนต์ (Powertrain) ต่าง ๆ จะมีมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ มากกว่า 3 ใน 4 ของผู้บริหารทั่วโลกยังกล่าวอีกว่า รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงจะเป็นความก้าวล้ำที่สำคัญของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย”

เกี่ยวกับรายงาน KPMG Global Automotive Executive Survey ประจำปี 2018

เคพีเอ็มจี ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามรวมทั้งสิ้น 3,000 คน โดยมีผู้บริหารระดับสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 900 คน เกินกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นประธานหรือประธานกรรมการ  และประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือผู้บริหารระดับสูง (C-Level) โดย 1 ใน 3 ของผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามประจำการอยู่ในยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก ผู้บริหารจากประเทศจีนนับเป็น 15% ผู้บริหารจากอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้อย่างละ 13% ผู้บริหารที่ประจำอยู่ในประเทศอินเดียและอาเซียนนับเป็น 16% และอีก 12% มาจากตลาดที่อิ่มตัวแล้วในภูมิภาคเอเชีย

ผู้ตอบแบบสอบถามดังกล่าวเป็นตัวแทนจากบริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมทั้งผู้ผลิตรถยนต์ ซัพพลายเออร์ตั้งแต่ระดับ Tier 1 2 และ 3 ผู้แทนจำหน่าย ผู้ให้บริการทางการเงิน ผู้ให้บริการด้านการสัญจร และเป็นครั้งแรกที่มีตัวแทนจากบริษัทด้านไอซีทีเข้าร่วมตอบแบบสอบถามในครั้งนี้ โดยมากกว่า 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดทำงานอยู่ในบริษัทที่มีรายได้ประจำปีมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเกือบ 70% ในจำนวนนี้มีรายได้ประจำปีมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การสำรวจในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้ตอบแบบสอบถามในการทำแบบสำรวจความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน 2017

ทั้งนี้ เคพีเอ็มจี ได้สัมภาษณ์และสำรวจความคิดเห็นลูกค้ากว่า 2,100 คนทั่วโลก ที่มีพื้นฐานการศึกษาที่หลากหลายในทุกช่วงอายุ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึก มุมมองและความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์

อ่านข้อมูลการสำรวจทั้งหมด พร้อมใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อเปรียบเทียบสถิติตามประเทศ ภูมิภาค และค้นหาคำถาม อื่น ๆ พร้อมพบกับรายงาน KPMG Global Automotive Executive Survey ประจำปี 2018 ฉบับเต็มได้ที่ www.kpmg.com/GAES2018

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา