รัฐบาลญี่ปุ่น ลั่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลทุกคัน ต้องเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า” ภายในปี 2050

ในอีก 32 ปีข้างหน้า จะมีเพียงรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นที่คนญี่ปุ่นทั่วไปจะได้ใช้งาน นี่คือเป้าหมายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ต้องการให้เกิดขึ้น

ญี่ปุ่นประกาศมุ่งหน้าสู่สังคม EV เต็มตัว ดึงค่ายใหญ่จับมือลุยด้วยกัน

รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศความมุ่งมั่นเชิงนโยบายว่า ภายในปี 2050 หรือในอีก 32 ปีนับจากนี้ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลทุกคันในประเทศจะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าในที่นี้รวมถึงรถยนต์ไฮบริดด้วย

การประกาศแผนก้าวเข้าสู่ยุค EV เต็มตัวของรัฐบาล ได้ดึงเอาค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota และ Nissan มาร่วมเป็นส่วนหนึ่ง โดยวางแผนไว้ว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2019 เป็นต้นไป จะมีการร่วมมือกันอย่างจริงจังในการจัดซื้อทรัพยากรที่จำเป็นต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

  • เรียกได้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้คู่แข่งรายใหญ่มาจับมือกัน แต่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าต้องเดินหน้าในรูปแบบนี้ เป็นเพราะจีนกำลังรุกคืบอย่างหนักในด้านรถยนต์ไฟฟ้า อาจทำให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากรสำคัญได้ เพราะฉะนั้นจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน น่าจะเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลที่สุดในช่วงเวลาแบบนี้

พูดถึงจีน ในปัจจุบันรัฐบาลจีนได้วางแผนที่จะยุติให้มีการขายรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันในอนาคตอันใกล้ รวมถึงออกกฎหมายอนุญาตให้ผู้ผลิตจากต่างชาติสามารถเข้ามาร่วมค้าขายกับผู้ผลิตในท้องถิ่น แต่มีข้อกำหนดว่าต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น

อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่กระแส แต่เป็นสิ่งที่ “มา” แน่ๆ เพราะนอกจากฝั่งตะวันออกที่กำลังเดินหน้าอย่างเข้มข้น ทางฝั่งตะวันตกนำโดยประเทศแถบยุโรปก็เริ่มออกนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นกับรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมัน และหันไปส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริง จนนักวิเคราะห์เคยฟันธงไว้เลยว่า ภายในปี 2040 รถยนต์รุ่นใหม่ในยุโรปครึ่งหนึ่งจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า และหลังจากนั้นจะมีแต่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นที่วางจำหน่ายในท้องตลาด

สำหรับแผนของรัฐบาลญี่ปุ่นในการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นจริง ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 90% ในปี 2050 เมื่อเทียบกับปี 2010

Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ระบุว่า “ญี่ปุ่นต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการทำให้รถยนต์ไฟฟ้าแพร่กระจายไปในระดับโลก นั่นคือเป้าหมายของประเทศที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลกอย่างเรา”

ที่มา – Japantoday

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา