คนไทยผิดหวัง แต่ยังไม่หมดหวัง เปิดมุมมอง ‘ไอติม-พริษฐ์’ ไทยเปลี่ยนได้ด้วยการเงิน-การเมือง-การศึกษา

ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองและเศรษฐกิจตอนนี้ คุณหมดหวังกับ ‘ประเทศไทย’ หรือยัง?

ไอติม พริษฐ์

‘ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ’ พูดบนเวที ‘Thailand Hidden Potential ประเทศไทยกับโอกาสที่ซ่อนอยู่’ ในงาน ‘Creative Talk Conference 2025’ ว่า ในมุมของเขาแล้ว เราอาจจะแค่ “ผิดหวังแต่ยังไม่หมดหวัง”

หากย้อนไปสมัยเลือกตั้งปี 2566 ณ ตอนนั้น ไอติมเชื่อว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยคงรู้สึกว่าไทยยังมีอีกหลายอย่างที่ดีขึ้นกว่านี้ได้ จึงออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยความหวัง 

ไอติมเผยว่า สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการเลือกตั้งครั้งนั้นคือ 70% ของคนที่ออกไปใช้สิทธิ์ ลงคะแนนให้กับสองพรรคที่อยู่ซีก ‘ฝ่ายค้าน’ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการการเปลี่ยนแปลง แถมยังเป็นปีที่คนออกมาใช้สิทธิ์สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

ดังนั้น มันเลยไม่แปลกที่คนไทยในปี 2566 จะมีความคาดหวังสูงมาก แต่หากมองมาวันนี้ การเปลี่ยนแปลงที่หวังไว้ กลับยังไม่เกิดขึ้นในหลายด้าน ทำให้สังคมจำนวนหนึ่งจึงผิดหวังกับสองปีที่ผ่านมา

แต่ที่ไอติมใช้คำว่า “ผิดหวังแต่ยังไม่หมดหวัง” เป็นเพราะเชื่อว่า หากพรุ่งนี้มีการเลือกตั้ง คนไทยส่วนใหญ่ก็คงไปใช้สิทธิ์กันอยู่ดี

นอกจากนั้น ในอีกหลายๆ เหตุการณ์บ้านเมือง ไอติมก็ยังเห็นสังคมแสดงความโกรธหรือไม่เห็นด้วยอยู่ ซึ่งนั่นไม่ใช่พฤติกรรมของคนที่หมดหวัง แต่เป็นพฤติกรรมของคนที่คิดว่า ความไม่พอใจของตนเองจะถูกส่งไปถึงผู้มีอำนาจ แล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนได้ต่างหาก

ไทยมีทางออก แต่ต้องชนะการเลือกตั้งแบบไม่เป็นหนี้บุญคุณคนอื่น นอกจากประชาชน

Thailand

ไอติมเล่าว่า จริงๆ แล้ว ประเทศเราไม่ได้ขาดคนที่มีทางออก แต่ปัญหาคือ จะทำอย่างไรให้ข้อเสนอเหล่านั้นถูกผลักดันโดยฝ่ายการเมืองให้เกิดขึ้นจริงมากกว่า

“เราจะคุยกันในพรรคประชาชนเสมอว่า สิ่งที่เลวร้ายกว่าการไม่ชนะใจประชาชน ไม่ชนะเลือกตั้ง คือการชนะไปแล้ว แล้วกลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตามที่สื่อสารกับประชาชนไว้ได้ แต่สองเป้าหมายนี้มันสัมพันธ์กัน คุณชนะแบบไหนจะกำหนดว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้แค่ไหน”

ไอติมอธิบายว่า หากคุณชนะการเลือกตั้ง ด้วยการไปติดหนี้บุญคุณ ‘คนบางกลุ่ม’ ที่ไม่ใช่ประชาชน ท้ายสุด ต่อให้ขึ้นเป็นรัฐบาล คุณจะอยู่ในจุดที่ไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้ และถ้าให้พูดตรงๆ คือ คนเราต้องชนะการเลือกตั้ง โดยไม่เป็นหนี้บุญคุณ 4 อย่างดังต่อไปนี้

  1. ‘ทุนใหญ่’: การทำงานการเมืองต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่การตัดสินใจของพรรคว่า จะระดมทุนจากไหน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าคุณหวังพึ่งเงินจากนายทุนหรือบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง สุดท้าย มันไม่มีอะไรรับประกันเลยว่า เมื่อคุณเข้าสู่อำนาจ นโยบายที่ต้องการผลักดันจะขัดกับผลประโยชน์ของคนกลุ่มนี้หรือเปล่า
  1. ‘บ้านใหญ่’: บ้านใหญ่คือกลุ่มคนที่มีอิทธิพล และสามารถชนะใจประชาชนในพื้นที่ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกันมายาวนาน ซึ่งไอติมไม่ได้มองว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องบวกหรือลบ แต่ถ้าคุณหวังแค่ดึงพวกเขามาร่วมงาน เพียงเพราะเป็นบ้านใหญ่ โดยไม่สนใจว่าเป้าหมายตรงกันหรือไม่ ต่อให้ชนะการเลือกตั้ง ก็อาจไม่สามารถสร้างทีมบริหารที่มีความรู้หรือเหมาะสมกับนโยบายที่ต้องการผลักดันอยู่ดี
  1. ‘นายใหญ่’: เมื่อไรที่พรรคการเมืองขึ้นตรงกับคนคนเดียว กลุ่มเดียว หรือครอบครัวเดียว ก็อาจเกิดข้อจำกัดว่า หากได้เข้าไปบริหารแล้วดันขัดผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้น มันจะกลายเป็นอุปสรรคของประโยชน์ส่วนรวมในประเทศหรือเปล่า
  1. ‘พี่ใหญ่’: คำว่าพี่ใหญ่ในที่นี้ ไอติมหมายถึง อำนาจนอกระบบ เพราะหากคุณได้เข้ามาบริหารด้วยอิทธิพลของอำนาจที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน สุดท้าย ก็จะมีข้อจำกัดเช่นกัน

การจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ ต้องแก้การเงิน การเมือง และการศึกษา

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจบนเวทีนั้นคือคำถามว่า “อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถวิ่งไปข้างหน้าได้?” ซึ่งไอติมก็ให้คำตอบว่า การจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้ทันโลก หรือนำชาติอื่น ต้องเริ่มจากการเขียนหนังสืออีก 3 เล่มคือ

  1. เอกสารงบประมาณ

ในฐานะที่ไอติมเป็นกรรมาธิการงบประมาณในปี 2565 และ 2568 เขาเห็นปัญหาหลักๆ อยู่ 3 ด้าน คือ

  • งบประมาณมีความยืดหยุ่นน้อย: แม้ไทยจะเคยเจอวิกฤตมาหลายอย่าง แต่โครงสร้างงบกลับแทบไม่เปลี่ยน โดยมีเงินเพียงราวๆ 1 ใน 3 ของงบทั้งหมดที่สามารถเอาไปจัดสรรใหม่ได้ 
  • ระบบราชการที่รวมศูนย์แต่แตกกระจาย: ไทยมีหน่วยงานส่วนกลางเยอะมาก แต่หลายองค์กรทำงานแบบต่างคนต่างทำ และไม่ค่อยไว้ใจท้องถิ่นในการให้เงินไปพัฒนาพื้นที่ ทำให้งบประมาณหลายส่วนถูกใช้ซ้ำซ้อน หรือคนใช้กลับไม่ได้คิด ส่วนคนคิดไม่ได้ใช้
  • ใช้งบประมาณโดยลืมไปว่านี่คือภาษีประชาชน: เช่น มีการจัดตั้งงบ 100 ล้านบาทเพื่อเปลี่ยนฉากหลังประธานสภา ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ธุรกิจเจ๊งระเนระนาด ขณะค่าแรงยังเท่าเดิม ซึ่งไอติมมองว่า หากรัฐไทยเปรียบงบประมาณเหมือนเงินส่วนตัวที่ใช้กับครอบครัว ก็อาจจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้นบ้าง
  1. รัฐธรรมนูญ

ไอติมมองว่า รัฐธรรมนูญปี 60 ทำให้อำนาจของ ‘สถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง’ สามารถเข้ามาขัดขวาง ‘สถาบันทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง’ แถมยากต่อการตรวจสอบโดยประชาชนด้วย

ไอติมทราบดีว่า นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งบางคนก็อาจมีพฤติกรรมที่สังคมรับไม่ได้ แต่มันอาจมีทางเลือกที่ดีกว่านี้

“ไม่ใช่ประชาธิปไตยน้อยลง แต่ประชาธิปไตยมากขึ้น คือทำยังไงให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบนักการเมืองมากขึ้น ข้อมูลงบประมาณถูกเปิดเผยอย่างโปร่งใส ทำทุกอย่างต้องอยู่ในที่แจ้ง ไม่อยู่ในที่ลับ มันก็จะทำให้นักการเมืองที่คิดไม่ดี ต้องหยุดการกระทำดังกล่าว หรือทำยังไงให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงในการถอดถอนนักการเมือง ผมคิดว่าแบบนี้จะเป็นวิธีการที่ยั่งยืนกว่า ในการทำให้นักการเมืองที่ประชาชนเลือกเข้าไป ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน” ไอติมกล่าว

  1. หลักสูตรการศึกษา

ไอติมเผยว่า หลักสูตรการศึกษาของไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาตั้งแต่สมัย iPhone รุ่นแรก ส่งผลให้ ตอนนี้ เด็กไทยทุกคนเรียนหนักเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ขณะที่รัฐบาลก็ทุ่มงบให้กระทรวงศึกษาธิการสูงสุดเช่นกัน แต่เวลาและเงินที่เสียไปนั้น กลับไม่สามารถแปลงเป็นทักษะให้เยาวชนเอาไปแข่งกับนานาชาติได้เลย

ไอติมกล่าวว่า ปัญหาที่เล่ามานี้ ไม่ใช่แค่พรรคประชาชนที่มองเห็น แต่พรรคอื่นๆ ก็รับรู้เช่นกัน แต่อย่างที่บอกไปคือ จะทำอย่างไรให้ทางออกเกิดขึ้นจริง

ไอติมอยากให้ประชาชนทุกคนมองตนเองเป็น ‘ผู้บริโภค’ ไม่ใช่ ‘ผู้รับ’ เนื่องจากเราจ่ายภาษีและเรามีสิทธิ์ในฐานะพลเมือง หากคิดว่าสิ่งที่ได้รับนั้นยังไม่ตอบโจทย์ ขอให้กล้าส่งเสียงออกมา มากกว่าการเป็นผู้รับที่ใครให้อะไรมาก็ขอบคุณ

“เสียงของประชาชนยังคงมีความหมาย จะโซเชียล หรือว่าจะอินบ็อกซ์ไปหาสส.ในพื้นที่ หรือว่าจะเป็นเสียงที่อาจจะไม่ได้อยู่ในออนไลน์อย่างเดียว แต่ว่าเป็นเสียงสะท้อนต่อทีมงานในพื้นที่ ผมว่าส่งผลหมด” 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา