ฆ่าไม่ตาย! Isuzu อวดตัวเลขผลกำไรดำเนินงานกว่า 50,000 ล้านบาท แม้ขายแต่รถเพื่อการพาณิชย์

แม้จะไม่ได้ทำตลาดรถยนต์นั่ง แต่ Isuzu ก็ยังเจริญเติบโตในตลาดรถยนต์ได้ตลอดมา โดยล่าสุดคาดว่าผลกำไรจากการดำเนินงานในปีปฏิทิน 2561 จะแตะ 1.72 แสนล้านเยน หรือราว 50,000 ล้านบาท

รถยนต์ Isuzu

เพิ่มขึ้น 5% แม้ตลาดสำคัญเริ่มชะลอตัว

สำหรับผลกำไรจากการดำเนินงานของ Isuzu Motors นั้น ทางบริษัทคาดหวังว่าจะเพิ่มขึ้น 5% คิดเป็นมูลค่าราว 50,000 ล้านบาท หลังความต้องการรถกระบะ และรถบรรทุกขนาดเล็กในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น แต่ด้วยภาวะค่าเงินเยนที่แข็งตัวขึ้น ทำกระทบต่อธุรกิจส่งออกรุ่นที่ผลิตในประเทศไทยไปขายกับประเทศเพื่อนบ้าน

ส่วนรายได้นั้น Isuzu ตั้งเป้าว่าจะเติบโตจากปีปฏิทินก่อนหน้านี้ 4% คิดเป็นมูลค่าราว 2.15 ล้านล้านเยน หรือราว 6.3 แสนล้านบาท และถึงจะประสบปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน แต่บริษัทก็ยังเปิดเกมรุกในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะยังมีความต้องการรถเพื่อการพาณิชย์ตลอดเวลา

เช่นในประเทศไทยที่ในปีปฏิทินก่อนยอดขายรถยนต์โดยรวมเริ่มกลับมาเติบดตอีกครั้งหนึ่ง ทำให้สถานการณ์ในอุตสาหกรรมนี้เริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง โดย Isuzu เองก็ทำยอดขายตระกูล D-Max ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในตลาดอินโดนีเซียก็สามารถจำหน่ายรถบรรทุกขนาดเล็กรุ่นใหม่ได้ทันกับความต้องการในตลาดเช่นกัน

อย่างไรก็ตามการส่งออกรถเชิงพาณิชย์จากโรงงานในประเทศไทยไปตลาดตะวันออกกลาง และแอฟริกายังประสบปัญหาอยู่ เช่นในประเทศซาอุดิอาระเบียก็มีมาตรการในการทำตลาดที่เข้มงวด ส่วนในหลายประเทศแถบแอฟริกาก็ประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้การจับจ่ายไม่คึกคักเหมมือนในอดีต

ด้านตลาดดั้งเดิมอย่างประเทศญี่ปุ่นนั้นยอดขายเริ่มชะลอตัว หลังความต้องการรถบรรทุกเริ่มอิ่มตัว โดยเฉพาะผู้ซื้อกลุ่มธุรกิจก่อสร้างที่ไม่ได้เติบโตเหมือนในอดีต ส่วนปีปฏิทิน 2560 ที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนมี.ค. 2561 ทาง Isuzu คาดว่ามีกำไรจากการดำเนินงานเติบโต 12% คิดเป็นมูลค่า 1.64 แสนล้านเยน หรือราว 48,000 ล้านบาท

สรุป

เรียกว่าฆ่าไม่ตายจริงๆ สำหรับ Isuzu เพราะถึงจะจำหน่ายแค่รถเพื่อการพาณิชย์ ก็เติบโตในตลาดรถยนต์ได้ตลอด ซึ่งจุดหลักๆ ที่ทำได้คือเรื่องอะไหล่ที่ซ่อมไวเปลี่ยนไว ประกอบกับเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนซื้อเพื่อการพาณิชย์ ดังนั้นเชื่อว่ารถยนต์แบรนด์นี้น่าจะอยู่ในตลาดได้อีกยาว และเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ Toyota ไปอีกนาน

อ้างอิง // Asian Nikkei Review

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา