บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันที่ 1 ก.ย. 2566 คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยหรือ SET Index ไม่ผ่านแนวต้าน 1,580 จุด และปรับตัวลง สร้างสัญญาณลบทางเทคนิคต่อการพักตัว เพื่อลดความร้อนแรง หลังปรับขึ้นต่อเนื่องก่อนหน้านี้
โดยมีแนวรับที่ 1,560 และ 1,550 จุด ตามลำดับ ส่วนในช่วงนี้ มี Upside ระยะสั้นจำกัดที่แนวต้าน 1,570 และ 1,580 จุด ตามลำดับ ประเด็นสำคัญ ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐในคืนนี้
บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า คาดว่า ตลาดหุ้นวันนี้จะเคลื่อนไหว Sideways Down มองแนวรับที่บริเวณ 1,560/1,556 จุด และแนวต้านที่บริเวณ 1,569/1,576 จุด
ทั้งนี้ การรายงานตัวเลขดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐเดือน ก.ค.ออกมาเพิ่มขึ้น 0.2%เดือนก่อนหน้า (MoM) และเพิ่มขึ้น 3.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลไม่รวมอาหารและพลังงาน(Core PCE) ออกมา เพิ่มขึ้น 0.2%MoM และเพิ่มขึ้น 4.2%YoY แม้ยังอยู่ในระดับที่สูงแต่รายงานออกมาตามที่ตลาดคาดไว้ บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อสหรัฐยังอยู่ในระดับสูงต่อไป
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ของสหรัฐเมื่อคืนนี้ออกมา 2.35 แสนตำแหน่ง มากกว่าที่ตลาดคาด และมากกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าสะท้อนถึงตลาดแรงงานสหรัฐเริ่มลดความร้อนแรงลงต่อเนื่องสอดคล้องกับตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ก่อนหน้าและตัวเลข JOLTS ที่อ่อนแอเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นตลาดคาดการณ์ถึงแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจไม่สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ต่อทั้งในการประชุมเดือน ก.ย. และ พ.ย. โดย CME FED Watch Tools เริ่มกลับมาให้น้ำหนักกว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปในเดือน พ.ย. นี้ที่น้ำหนัก 60.0%+/- จากก่อนหน้าคาดมีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25%
อย่างไรก็ตามเรามองตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปบ้างในระดับหนึ่งแล้ว โดยเราเริ่มเห็นดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อคืนนี้ดีดตัวขึ้นปิดที่ระดับ 103.63 (+0.43%) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (US-Bond Yield) ชะลอการอ่อนตัวลง สะท้อนถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงของตลาดลดลง (Risk-Off) คาดจะกดดันและจำกัด Upside ทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงได้บ้าง
โดยวันนี้แนะนำติดตามการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือน ส.ค. คาดจะออกมาที่ระดับ 1.70 แสนตำแหน่ง ลดลงจากเดือนก่อนหน้า รวมทั้งตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐโดย ISM เดือน ส.ค. คาดว่าจะออกมาที่ระดับ 47.0 ต่ำกว่าระดับ 50.0 ต่อเนื่อง ซึ่งว่าบ่งชี้เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลง
ด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ล่วงหน้าส่งมอบเดือน ต.ค. เมื่อคืนนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีปิดที่ระดับ 83.63 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.00 ดอลลาร์สหรัฐ (+2.45%) ได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์ซาอุดิอาระเบียมีแนวโน้มที่จะขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตแบบสมัครใจ 1 ล้านบาร์เรล/วัน ไปจนถึงสิ้นปี 66 ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบตึงตัวต่อไป
อีกทั้งเรายังมองทิศทางราคานน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์พายุโซนร้อน Idalia จะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในสหรัฐทำให้อุปทานน้ำมันดิบในสหรัฐตึงตัวในระยะสั้นเช่นกันคาดจะหนุนทิศทางหุ้นในกลุ่มพลังงาน (PTTEP) และโรงกลั่น (SPRC และ TOP) ปรับตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เรามีความกังวลต่อแนวโน้มการออกนโยบายลดราคาพลังงานของรัฐบาลชุดใหม่อาจเป็นปัจจัยจำกัด Upside ของหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ แนะนำขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานหากราคาดีดตัวขึ้น
ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศเรามีมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของ ธปท. ในการประชุม กนง. เดือน ก.ย. นี้จากการที่ภาคการส่งออกฟื้นตัวช้าตามทิศทางเศรษฐกิจโลก-จีน รวมทั้งรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ออกมาช้ากว่าคาด ซึ่งอาจกดดันทิศทาง และจำกัด Upside ของตลาดได้
อย่างไรก็ดีเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคาดจะหนุนหุ้นในกลุ่ม Domestic Play อาทิ
- หุ้นในกลุ่มการเงิน (MTC, SAWAD, TIDLOR, KTC, AEONTS, JMT และ BAM)
- กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT, TNP และ BJC) ที่ได้รับความคาดหวังในการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแม้เราคาดว่าความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลจะส่งผลให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้าออกไปมาก คาดจะไม่ทันปีงบประมาณ ปี 2567 ในเดือน ต.ค. ทำให้การออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในสิ้นปี 66 เป็นไปได้ยาก ซึ่งคาดว่าจะจำกัด Upside ของตลาดหุ้นไทยได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม เรามองความคาดหวังในการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง ไตรมาส 1 ปี 67 โดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทคาดจะช่วยจำกัด Downside ของตลาดได้เช่นกัน รวมทั้งการส่งสัญญาณเตรียมยกเลิกวีซ่าให้กับประเทศจีนและอินเดีย รวมทั้งขยายระยะเวลาท่องเที่ยวของชาวรัสเซียได้ 90 วัน และแนวโน้มในการปรับลดภาษีน้ำมันเครื่องบินในประเทศลงเหลือที่ระดับ 0.20 บาทอีกครั้ง คาดจะหนุนทิศทางหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว-สายการบิน (AOT, CENTEL, ERW, AAV และ BA) ได้ต่อ
ที่มา – บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์, บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา