ศึกชิงความเป็นใหญ่ จีน-อินเดีย สงครามการค้าใต้หน้ากากพิพาทชายแดน

จากข้อพิพาทชายแดนสู่สงครามการค้าจีน-อินเดีย หรือแท้จริงแล้วนี่คือศึกแย่งชิงความเป็นใหญ่ในภาวะที่จีนกำลังอ่อนแอ

ครั้งหนึ่ง Jawaharlal Nehru รัฐบุรุษและนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียเคยใฝ่ฝันถึงการร่วมมือระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียอย่างจีนและอินเดียมากกว่าการสู้รบปรบมือ แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของ Jawaharlal Nehru จะต้องพังลงไปพร้อมๆ กับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศหลังจากเหตุการณ์ปะทะกันบนยอดเขาหิมาลัยที่ผ่านมาและถูกแทนที่ด้วยสงครามที่กำลังก่อตัวระหว่างสองประเทศแทน

HANGZHOU, CHINA – SEPTEMBER 04: Chinese President Xi Jinping (right) shakes hands with Indian Prime Minister Narendra Modi to the G20 Summit on September 4, 2016 in Hangzhou, China. World leaders are gathering in Hangzhou for the 11th G20 Leaders Summit from September 4 to 5. (Photo by Lintao Zhang/Getty Images)

การก่อสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างจีน-อินเดียในตอนนี้จะนำไปสู่ผลกระทบอันเลวร้ายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดที่สามารถจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่จะทำให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำมากแค่ไหน จีนกับอินเดียก็ยังคงเล่นสงครามประสาทกันอยู่อย่างต่อเนื่องผ่านมาตรการการเพิ่มข้อจำกัดทางการค้าและอัตราภาษีศุลกากร

เปิดฉากด้วย Narendra Modi นายกรัฐมนตรีอินเดียทำการแบนแอปพลิเคชันยอดนิยมของจีนอย่าง TikTok กับ WeChat และแอปอื่นๆ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงภายในประเทศอีกด้วย ไม่หยุดแค่นั้น ตอนนี้รัฐบาลอินเดียยังเตรียมที่จะทำการไล่แบนจีนไปทีละอุตสาหกรรมตั้งแต่อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมไฟฟ้า เครื่องจักรกลหนัก ยาว ไปจนถึงอุตสาหกรรมยางเลยทีเดียว

จริงอยู่ที่ที่ผ่านมาอินเดียกลายเป็นแหล่งการผลิตที่มีกำลังมากพอๆ กับจีนจากการผลักดันการส่งออกสินค้า Made in India ของโมดีที่ทำให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 10 ล้านตำแหน่ง แถมยังมองเกมออกว่าจีนอยากให้เปลี่ยนระบบแรงงาน ที่ดิน กฎหมาย รวมถึงระบบภาษีในประเทศเพื่อเอื้อให้บริษัทจากจีนเข้ามาทำธุรกิจ และตอนนี้การตอบโต้ของโมดีก็กำลังพาจีนไปสู่อีกจุดของความยากลำบาก

แต่สิ่งที่โมดีนายกรัฐมนตรีของอินเดียควรจะทำที่สุดตอนนี้อาจไม่ใช่การจับตามองอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยบริษัทและวัตถุดิบจากจีนแต่คือการคิดว่าจะรับมือและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้ยังไงมากกว่า

Indian Prime Minister Narendra Modi (Photo by Mark Schiefelbein – Pool/Getty Images)

การระบาดของโควิดทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่อินเดียกำลังเจออยู่ก่อนหน้านี้เลวร้ายลงกว่าเดิมจน Fitch บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียลง เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Debt-to-GDP หรือ debt/GDP) ของอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในปีงบประมาณ 2020 และคาดว่าสัดส่วน debt/GDP ของอินเดียจะเพิ่มขึ้นเป็น 84% ในปีงบประมาณ 2021

ก่อนหน้านี้อินเดียถูก Moody’s สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออีกแห่งหนึ่งปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรอินเดียลงจาก Baa2 เป็น Baa3 มาแล้ว แถมอินเดียยังต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งคาดว่า GDP ของอินเดียจะลดลง 5-10% ในปีนี้ โดย CRISIL บริษัทจัดอันดับ ทำวิจัย และให้คำปรึกษาในอินเดียคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียประมาณ 10% ของ GDP อาจเสียหายจนไม่สามารถกู้คืนได้อีกด้วย

Note: Debt-to-GDP หรือ debt/GDP ใช้ในการดูความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของแต่ละประเทศโดยเทียบจากขนาดของ GDP และหนี้สาธารณะ ถ้าสัดส่วน Debt-to-GDP สูงเกินไปประเทศนั้นๆ อาจตกอยู่ในภาวะความเสี่ยงที่รัฐบาลไม่สามารถชำระหนี้ได้

India อินเดีย
ภาพจาก Shutterstock

Martin Wolf หัวหน้าฝ่ายวิจารณ์เศรษฐกิจจาก Financial Time มองว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจจากโควิดในครั้งนี้จะหนักหนามากกว่าตอนที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงที่สุดหรือ The Great Depression ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ต่างได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการล็อคดาวน์ รวมถึงอินเดียด้วยเช่นกัน สิ่งที่รัฐบาลอินเดียควรทำในตอนนี้คือการพยายามเยียวยาและรักษาความต้องการภายในประเทศซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ GDP ที่กำลังย่ำแย่เพราะโควิด-19 (ประมาณ 57% ของ GDP อินเดียมาจากการบริโภคภายในประเทศ)

ทั้งอินเดียและจีนได้รับผลกระทบจากโควิดกันทั้งคู่แต่การตอบโต้ของโมดีที่มีต่อ Huawei โรงงานของจีน และสินค้าอื่นๆ อาจเป็นการตัดสินใจที่ผลลัพธ์จะกลับมาทำร้ายและขัดขวางการพัฒนาของอินเดียเองมากกว่าสร้างความเสียหายให้กับจีน

ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์อันร่อแร่ของจีนกับคู่ค้าใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่แค่อินเดีย แต่รวมถึงญี่ปุ่นและประเทศตะวันตกอื่นๆ เองจะส่งผลต่อการเมืองและเศรษฐกิจของจีนอยู่ไม่น้อย แต่การที่มาแทนที่จีนนั้นมันชัดเจนว่าประเทศมีราคาที่ต้องจ่ายและต้องจ่ายในราคาที่แพงมาก จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก มีขนาดการผลิตที่ใหญ่ ถูก และคุณภาพดี มันยากมากที่จะมีประเทศไหนมาแทนที่จีนได้ในแง่ของการแข่งขันเรื่องต้นทุนการผลิตและราคา จะยุโรปหรืออเมริกาก็ทำไม่ได้ สำหรับอินเดียยิ่งชัดเจนว่าเป็นไปได้ยาก

ภาพจาก Shutterstock

จากเป้าหมายของโมดีตอนนี้คือการดึงดูดโรงงานและการผลิตขนาดใหญ่ที่ย้ายออกจากจีนจากปัญหาสงครามการค้าจีน-อเมริกาซึ่งแน่นอนว่าถ้าเทียบจำนวนประชากรโมดีก็ชนะเวียดนามเห็นๆ เพราะใหญ่กว่า 13 เท่าตัว

Wolf มองว่าถ้าอินเดียคิดจะมาแทนที่ฐานการผลิตของจีนจริงๆ อินเดียอาจจะต้องเตรียมตัวกับราคาที่ต้องจ่ายในการแข่งขันครั้งนี้ซึ่งเป็นต้นทุนที่แพงและกระทบทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในประเทศอินเดีย

ที่มา: EconomictimesQuartz IndiaThe Print, Forbes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา