ฮ่องกงคือหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ขึ้นชื่อเรื่องการช็อปปิ้งและท่องราตรี แต่ต้องบอกว่าภาพนั้นคืออดีต เพราะในตอนนี้ ยังไม่สามารถดึงนักท่องเที่ยวกลับมาได้
จากสถิติในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 ระบุว่า ฮ่องกงมีนักท่องเที่ยวแค่ 24 ล้านคนเท่านั้น ตัวเลขนี้ดูเหมือนจะเยอะ แต่ก็นับเป็นเพียง 60% ของนักท่องเที่ยวที่เคยมีในปี 2019 ยุคก่อนเจอโควิด
มาถึงวันนี้พูดได้เลยว่า ท่องเที่ยวฮ่องกงยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ตามที่ควรจะเป็น แต่คำถามมันผิดพลาดตรงไหน สาเหตุเป็นเพราะอะไร และฮ่องกงมีแผนจะแก้ปัญหาการท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง
รัฐบาลบอก ให้พนักงานยิ้มเยอะๆ เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงการท่องเที่ยว
ล่าสุด รัฐบาลฮ่องกงจัดแคมเปญ ‘Let’s Go the Extra Mile’ กระตุ้นให้พนักงานบริการด่านหน้าแสดงออกถึงการเป็นเจ้าภาพที่ดีมากขึ้น โชว์ใจรักที่มีต่องาน เพื่อที่จะกอบกู้ชื่อเสียงในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกครั้ง ด้วยการ ‘ยิ้ม’ ให้มากขึ้น
John Lee ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงเผยว่า “ผมอยากให้ประชาชนแสดงความสุภาพและยิ้มแย้มมากกว่านี้ พยายามขึ้นหน่อยเพื่อบ้านเมืองของเรา”
แต่ถ้าถามว่า การให้เหล่าพนักงานบริการยิ้มออกนอกหน้า มันเวิร์คจริงๆ หรือเปล่า ถ้าให้ตอบตอนนี้คงไวไปที่จะประเมิน แต่ถ้าให้วิเคราะห์ปัญหาที่แท้จริงของการท่องเที่ยวฮ่องกง น่าจะเห็นภาพได้ชัดว่า มาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ ‘ราคาข้าวของอันแสนแพง’ และ ‘การแข่งขันระหว่างฮ่องกงกับเซินเจิ้น’
ฮ่องกงของแพงเพราะใช้สกุลเงินดอลลาร์
เป็นที่ทราบกันดีว่า สกุลเงินของฮ่องกง (HKD) นั้นผูกอยู่กับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแปลว่าต่อให้มันจะช่วยในการเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ แต่มันก็ทำให้ค่าครองชีพแพงกว่าประเทศอื่นในเอเชียเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาก ส่วนทางกับเงินหยวนของจีนที่กำลังอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
Allan Zemen ประธานบริษัท Lan Kwai Fong Group ผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในย่านสถานบันเทิงฮ่องกง พ่วงด้วยตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาล อธิบายว่า “ปัญหาหลักของฮ่องกงคือ เราแพงเกินไป สถานที่อื่นๆ อย่าง เซินเจิ้น หรือญี่ปุ่นเลยดูถูกมากในสายตานักท่องเที่ยว”
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากจีน
Zemen ยังเผยอีกว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในฮ่องกงคือคนจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะคนจีนไม่ค่อยใช้จ่าย มาพักแค่ในระยะสั้น แถมงบน้อย ด้วยปัญหาเศรษฐกิจจากทางบ้าน
ดังนั้น ทางการฮ่องกงจึงคาดการณ์ไว้ว่าในปีนี้ แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเยอะขึ้น แต่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่อาศัยเกิน 1 คืนจะน้อยลงกว่าปีที่แล้วถึงหัวละ 5,000 กว่าบาท
เขาไปเที่ยวเซินเจิ้นกันหมดแล้ว
ในขณะที่ฮ่องกงต้องปิดพรมแดนเนื่องจากโควิด เมืองเพื่อนบ้านอย่างเซินเจิ้นใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาพื้นที่ ทั้งยังสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงและสะพานขนาดมหึมาไว้อำนวยความสะดวกในการสัญจร
ที่สำคัญ อาหารการกิน สถานบันเทิง และ แหล่งช็อปปิ้งในเซินเจิ้นถูกพัฒนาจนเทียบเท่ากับฮ่องกง เผลอๆ อาจแซงหน้าไปแล้วก็ได้ เพราะข้าวของถูกกว่าประมาณ 2 – 3 เท่า
ด้วยเหตุเช่นนี้ ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ที่ผ่านมา ชาวฮ่องกง แทนที่จะจับจ่ายใช้สอยในบ้านเกิด กลับแห่ไปเที่ยวเมืองเซินเจิ้นกันหมด
โดยในเดือนมีนาคม มีคนเดินทางออกนอกฮ่องกงถึง 9.3 ล้านคน นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี 1997 ในขณะที่มีคนเดินทางมาเยือนแค่ 3.4 ล้านคนเท่านั้น
จากคำพูดของ Simon Lee Siu-Po นักเศรษฐศาสตร์และนักวิจัย ณ มหาวิทยาลัย Chinese University of Hong Kong “ไม่ว่าจะเป็นคนจีนที่แห่มาฮ่องกง หรือคนฮ่องกงที่แห่ไปเซินเจิ้น ทั้งสองกรณีก็คือปัญหาใหญ่พอๆ กัน”
สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อร้านค้าท้องถิ่นเป็นอย่างมาก จากผลสำรวจโดย Hong Kong Small and Medium Enterprises Association 70% ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ เผยว่ากิจการแย่กว่าเดิมเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด ซ้ำร้าย ร้านอาหารหลายแห่งต่างก็ทยอยปิดตัวไปตามกัน
ปัจจุบัน นอกจากแคมเปญ ‘Let’s Go The Extra Mile’ แล้ว ทางรัฐบาลฮ่องกงยังมีงบ 5.1 พันล้านบาท สำหรับจัดแสดงพลุในงานต่างๆ โดยเฉพาะ แต่ทำเท่านี้คงไม่พอ เพราะต่อให้จัดงบหรือยิ้มแย้มมากเท่าไหร่ ปัญหาสำคัญก็ยังคงเป็นราคาที่แพงหูฉี่และการแข่งขันกับเซินเจิ้นอยู่ดี
ที่มา – CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา