ยิ่งจบสูง ยิ่งหางานยาก ปรากฏการณ์ใหม่ในเมกา ที่เด็กไทยก็กำลังเจอเหมือนกัน?

แม้ ปู พงษ์สิทธิ์ จะเคยบอกไว้ว่า “กูเป็นนักศึกษา นักล่าปริญญา ใฝ่ฝันขึ้นมาเป็นใหญ่” แต่คนอเมริกันอาจไม่ค่อยอินเท่าไร เพราะวิจัยเผยว่า เด็กประเทศนี้ ยิ่งเรียนจบสูง ยิ่งไม่มีงานทำ

unemployment

‘Ron Sliter’ คือชายหนุ่มที่เลือกเรียนต่อปริญญาโท หวังจะได้งานมั่นคงและประสบความสำเร็จ แต่สุดท้าย เขาโดนเลย์ออฟในต้นปี 2023 แล้วพอสมัครงานใหม่เป็นพันๆ ที่ ก็ดันไม่มีบริษัทไหนรับอีก

ตอนนี้ แม้ผ่านไป 2 ปี Sliter ก็ยังว่างงานเหมือนเดิม จนถึงกับพูดว่า “มันบีบคั้นหัวใจมากนะ พวกเขาขายฝันให้คุณ คุณเลยสู้เพื่อความฝันตนเอง แต่พอถึงเวลาที่คุณจะตักตวงผลประโยชน์จากการต่อสู้เหล่านั้น กลับพบว่า ฝันที่วาดไว้ ไม่มีอยู่จริง”

Sliter ไม่ใช่คนเดียวที่ประสบปัญหานี้ เพราะ ‘Andrew Terrazas’ นักเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเอาข้อมูลจากรัฐบาลมาวิเคราะห์ แล้วพบว่า คนอเมริกันที่เรียนจบการศึกษาระดับปริญญาโทและเอก ใช้เวลาหางานนานกว่าคนที่จบแค่ม.6 หรือต่ำกว่าถึง 2 เท่า โดยมีค่ากลางช่วงเวลาว่างงานอยู่ที่ 18 สัปดาห์

พูดง่ายๆ คือ ยิ่งเรียนจบสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งหางานยากมากขึ้น เพราะอะไรกัน?

ถึงคราวว่างงานของคนมีปริญญา

เอาจริงๆ ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน สถานการณ์ในอุตสาหกรรมการเงินและเทคโนโลยีไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร แล้วสองวงการนี้ดันเป็นที่ทำงานหลักของคนมีการศึกษาหลายๆ คนซะด้วย

‘Aki Ito’ หัวหน้าผู้สื่อข่าวประจำ Business Insider เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ภาวะถดถอยของเหล่ามนุษย์เงินเดือน” ที่อาจเป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะทุกๆ อุตสาหกรรมมีขึ้นมีลงกันเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม Ito เริ่มหวั่นใจแล้วว่า หรือจริงๆ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น หลังจากได้ฟังเรื่องราวของ Sliter

Terrezas บอกว่า ตลอดเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เรามักพูดกันเสมอว่า ยิ่งเรียนจบสูงเท่าไร อนาคตการทำงานก็ยิ่งสดใสมากขึ้น แต่จู่ๆ โลกมันก็เปลี่ยนไป

ในมุมมองของ Terrezas สิ่งที่พนักงานออฟฟิศกำลังเผชิญอยู่ ไม่ต่างจากปัญหาที่ชนชั้นแรงงานเคยเจอช่วง 2000s เลย

ณ เวลานั้น อาชีพพนักงานโรงงานถูกมองว่าเป็นตำแหน่งที่สร้างประสิทธิภาพประสิทธิผลให้กับประเทศชาติมากที่สุด ก่อนทุกอย่างจะเปลี่ยน เมื่อการค้าระหว่างประเทศได้รับความนิยมขึ้น จนหน้าที่ของพวกเขาไม่สำคัญอีกต่อไป

ซึ่งตอนนี้ก็ถึงเวลาของพนักงานออฟฟิศผู้ถือใบปริญญากันแล้ว

ยุคนี้ไร้ขอบเขต จ้างงานต่างชาติได้-AI พร้อมแทนที่ แถมประสบการณ์สำคัญกว่าความรู้

ถ้าพนักงานโรงงานมีการค้าโลกมาเป็นตัวแปรพลิกชีวิต ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานออฟฟิศผู้มีการศึกษาตกงานมากขึ้นคือ

  1. โควิดทำชี

อย่าเพิ่งพูดว่า “อะไรๆ ก็โทษโควิด” เพราะในกรณีนี้คือ พอไวรัสระบาดขึ้นมา ทุกคนก็ต้อง Work From Home หมด จนเป็นชนวนให้บริษัทหลายแห่งในสหรัฐฯ คิดออกว่า เราไม่จำเป็นต้องจ้างแค่พนักงานในประเทศก็ได้ แถมแรงงานต่างชาติยังค่าแรงต่ำกว่าอีก

ด้วยเหตุนี้ การว่าจ้างพนักงานระดับผู้จัดการ วิศวกรคอมพิวเตอร์ หรืออาชีพค่าตัวแพงทั้งหลาย จึงถูกมองเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย หรือพูดง่ายๆคือ เอาเงินไปจ้างต่างชาติที่มีความสามารถพอๆ กันคงดีกว่า

  1. ทักษะสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

หลังๆ มานี้ หลายองค์กรในสหรัฐฯ เริ่มไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวุฒิการศึกษา แต่เน้นทักษะของผู้สมัครงานมากกว่า โดยบางตำแหน่ง ไม่เขียนวุฒิขั้นต่ำในคุณสมบัติเลยด้วยซ้ำ แล้วมาเน้นประสบการณ์การทำงานแทน

เมื่อวุฒิการศึกษาไม่จำเป็นอีกต่อไป โอกาสในการเป็นบุคลากรตามบริษัทยักษ์ใหญ่ของคนที่ไม่ได้เรียนจบสูงขนาดนั้นก็เพิ่มขึ้น และแน่นอนว่า โอกาสของคนที่บากบั่นเรียนจนจบด็อกเตอร์ก็ลดลงเช่นกัน

  1. AI

สำหรับคนที่เชื่อว่า AI จะมาแย่งงานแค่ในตลาดที่ไม่อาศัยความรู้มากนัก อาจต้องคิดใหม่ เพราะล่าสุด มีการคาดการณ์ว่า เหล่าพนักงานออฟฟิศนี่แหละที่มีแนวโน้มถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์มากที่สุด

Ito ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า ลองนึกถึงตอนที่จู่ๆ ChatGPT บูมขึ้นมา ตอนนั้นมีเด็ก MBA หรือด็อกเตอร์คนไหนคาดคิดไว้ไหม และยิ่งเทคโนโลยีถูกพัฒนาไปไกลเท่าไร วุฒิการศึกษาสูงๆ ของคุณก็ยิ่งไร้ค่าไวขึ้นเท่านั้น

ยิ่งว่างงาน ยิ่งตกอยู่ในหล่มของวงจรอุบาทว์

บางคนอาจคิดว่า แค่ว่างงานเอง เรียนจบมาสูงขนาดนี้ เดี๋ยวตำแหน่งที่เหมาะสมก็เข้าหา แต่ความจริงคือ ภาวะการงานว่างงานอาจนำไปสู่ปัญหาที่หนักยิ่งกว่า โดย Ito เรียกมันว่า ‘วงจรอุบาทว์’ 

วงจรที่ว่านี่คือ ยิ่งคุณว่างงานนานเท่าไร ก็จะยิ่งหางานยากขึ้นเท่านั้น และเมื่อโดนปฏิเสธเรื่อยๆ คุณอาจเริ่มลดทอนความสามารถตนเอง โดยหันไปสมัครตำแหน่งที่ได้เงินเดือนต่ำกว่า หรือบางคน อาจยอมแพ้กับชีวิตไปเลย

จริงๆ แล้ว การว่างงานนานๆ ทำลายความมั่นใจคนเก่งๆ มานักต่อนัก เพราะบางคนก็บอกว่า แม้จะจบปริญญาเอกมา แต่กลับไม่อยากใส่วุฒิลงไปในใบสมัคร เพราะไม่อยากให้บริษัทมองว่าตนเองคุณสมบัติดีเกินกว่าตำแหน่งงานนั้น

หรือบางคนที่แม้จะหางานได้เรียบร้อย แต่ก็ไม่เชื่อว่าใบปริญญาเอกของตนมีส่วนช่วยให้ได้งานจริงๆ เพราะถ้าวุฒิการศึกษามีประโยชน์ เขาคงหางานได้นานแล้ว

นักเศรษฐศาสตร์เปรียบสถานการณ์แบบนี้ว่าเหมือนกับ ‘รอยแผลเป็น’ เพราะนอกจากจะทำร้ายคนที่ว่างงานในระยะยาวแล้ว ยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจวงกว้างด้วย

ไทยยิ่งเรียนจบสูง ก็ยิ่งหางานยากเหมือนกัน

อย่าเพิ่งดีใจไปว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะเด็กไทย ต่อให้มีใบปริญญา ก็ไม่แปลว่าจะหางานง่ายกว่าคนอื่นเช่นกัน

จากข้อมูลไตรมาส 3 ปี 2024 โดย ‘สำนักงานสถิติแห่งชาติ’ จำนวนผู้ว่างงานและอัตราการว่างงาน จำแนกตามระดับการศึกษาสูงสุดคือ

  • อุดมศึกษา 1.5 แสนคน (2.14%)
  • วิชาชีพขั้นสูง 5.1 หมื่นคน (2.01%)
  • อาชีวศึกษา 2.1 หมื่นคน (1.32%)
  • มัธยมปลายสายสามัญ 6.5 หมื่นคน (1%)
  • มัธยมต้น 6.7 หมื่นคน (0.91%)
  • ประถมหรือต่ำกว่า 5.9 หมื่นคน (0.38%)

เห็นเลยว่า ต่อให้คนไทยเรียนจบปริญญาตรี โท หรือเอกมา ก็ไม่ได้แปลว่า พวกเขาจะหางานง่ายกว่าคนที่จบด้วยวุฒิการศึกษาอื่น โดยสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นแบบนี้คือ บริษัทหลายๆ แห่งต้องการ ‘เด็กจบใหม่มากประสบการณ์’

‘สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย’ หรือ TDRI พบว่า งานของคนจบระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ (78.6%) ต้องการประสบการณ์การทำงาน 1-2 ปีขึ้นไป 

โดยเฉพาะ ‘งานสายวิชาชีพ’ ที่มีเส้นทางอาชีพ (Career Path) ชัดเจน เช่น สายการเงิน คอมพิวเตอร์ วิศวกรรม และกฎหมายบางส่วน มักต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงานมาบ้างแล้ว ส่งผลให้มีงานดีๆ เหลือให้เด็กไทยจบใหม่ไม่มากนัก

คำถามคือ เด็กจบใหม่ที่ใช้เวลานานเกือบๆ 20 ปีในสถานศึกษา จะไปมีประสบการณ์การทำงาน 1-2 ปีได้ยังไง?

และยิ่งองค์กรไม่ให้โอกาสเด็กจบใหม่ เพราะประสบการณ์ไม่มากพอ คำถามต่อไปคือ แล้วพวกเขาจะไปหาประสบการณ์จากไหน?

หรือถ้ามาดูตำแหน่งที่เปิดโอกาสให้ผู้ไม่มีประสบการณ์จริงๆ จะพบว่าส่วนใหญ่มักเป็น ‘งานพื้นฐาน’ หรืองานที่ไม่ใช้ทักษะความรู้มาก กลายเป็นว่า ความรู้ที่บากบั่นเรียนมาในมหาวิทยาลัยก็อาจไม่มีประโยชน์ต่อการหางานเลย

แล้วใครมันเป็นคนต้นคิดว่าถ้าเรียนเยอะๆ จะหางานง่าย 

ไม่ว่าจะในสหรัฐฯ หรือไทย เราล้วนโตมากับคำพูดว่า “ตั้งใจเรียนนะ โตไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” กันมาตลอด แต่คำถามคือ ไปเอาความเชื่อนี้มาจากไหน?

สำหรับของไทย เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครเป็นคนต้นคิด แต่ในสหรัฐฯ มันมีต้นเหตุอยู่ 2 คนคือ ‘Daron Acemoglu’ และ ‘David Autor’ นักเศรษฐศาสตร์แห่งยุค 1980-2009 ที่ค้นพบว่า ค่าแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับคนที่จบปริญญาตรี และยิ่งพุ่งทะยานไปอีกสำหรับคนที่เรียนสูงกว่านั้น แต่กลับถดถอยสำหรับคนที่เรียนไม่จบมัธยมปลาย

จากงานวิจัยชิ้นนั้น นักเศรษฐศาสตร์ก็อธิบายปรากฏการณ์นี้เป็นภาษาง่ายๆ คือ “ไปเรียนให้สูงกว่านี้ซะ ไม่งั้นตายแน่” 

กลายเป็นว่า การศึกษาเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผู้คนอยู่รอดในช่วงที่เศรษฐกิจค่อยๆ ล่มจม

ด้วยเหตุนี้ คนอเมริกันรุ่นใหม่ยุคนั้นจึงแห่กันไปเรียนต่อปริญญาโท พร้อมความหวังที่ว่าการงานในอนาคตคงคุ้มกับเงินที่กู้มาเพื่อการศึกษา 

หากนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จำนวนประชากรสหรัฐฯ ที่เรียนจบปริญญาโทหรือเอกนั้นเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ขณะที่จำนวนคนเรียนไม่จบมัธยมปลายน้อยลง

เอาเข้าจริง นักเศรษฐศาสตร์สองคนนั้นก็ไม่ได้พูดผิดอะไรหรอก เพราะเมื่อก่อน ยิ่งเรียนจบสูง ก็ยิ่งได้ค่าตอบแทนเยอะจริงๆ 

อย่างไรก็ตาม บริบทสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว และคำพูดนั้นอาจใช้กับโลกแห่งการทำงานยุคนี้ไม่ได้อีกต่อไป

แล้วคุณล่ะ คิดว่าวุฒิการศึกษายังสำคัญต่อการหางานในสังคมปัจจุบันได้อยู่หรือเปล่า?

ที่มา: Business Insider, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, TDRI

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา