หาดทิพย์ ทุนใหญ่ขายโค้ก 14 จังหวัดภาคใต้ จากพยายามแตกไลน์ธุรกิจ สู่การกลับมาสู่จุดที่ควรจะเป็น

การแตกไลน์ธุรกิจ หรือ Diversify คืออีกกลยุทธ์สำคัญของหลายองค์กรที่มีธุรกิจที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน เพราะการมีแหล่งรายได้ใหม่ ๆ เพิ่มก็น่าจะช่วยกระจายความเสี่ยงของธุรกิจได้ไม่มากก็น้อย ซึ่ง บมจ. หาดทิพย์ ผู้ได้รับสิทธิ์ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือโคคา-โคล่า หรือ โค้ก ใน 14 จังหวัดภาคใต้ก็มีความพยายามทำเช่นกัน

ความพยายามดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน ผ่านการลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจร้านอาหาร, อสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ แต่สุดท้ายแล้วธุรกิจเหล่านั้นกลับล้มเหลว หรือบ้างก็ลดความรวดเร็วในการลงทุน แสดงให้เห็นว่า การแตกไลน์ธุรกิจใหม่ ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หรือแค่มีเงินก็ทำได้

Brand Inside มีโอกาสรับฟังข้อมูลจาก พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. หาดทิพย์ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และแผนในอนาคตของบริษัทที่เริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักของตัวเองมากกว่าเดิม เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้นดังนี้

หาดทิพย์

ขายโค้กจนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. หาดทิพย์ เล่าให้ฟังว่า ในปี 2023 บริษัทมีรายได้เติบโต 14% มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6-8% เนื่องจากการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่เริ่มฟื้นตัว พร้อมอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 40% เมื่อเทียบกับรายได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของการดำเนินงาน

“เพื่อรองรับการกลับมาของการท่องเที่ยว มี.ค. 2023 จึงมีการลงทุนเครื่องจักรเกี่ยวกับขวดพลาสติกเครื่องที่ 3 และใช้กำลังการผลิตไป 64% จากกำลังการผลิตทั้งหมด ทำให้มีการจำหน่ายสินค้ากว่า 4.4 ล้านเสิร์ฟ/วัน ผ่านช่องทางจำหน่ายกว่า 50,000 แห่ง และเริ่มใช้งานขวด rPET ในบางสินค้าแล้ว”

จากความแข็งแกร่งดังกล่าว ทำให้บริษัทครองอันดับ 1 ในตลาดน้ำอัดลมที่ 14 จังหวัดภาคใต้ด้วยสัดส่วน 79.3% ผ่านจำนวนตู้แช่กว่า 16,000 ตู้ เพิ่มขึ้น 19% จากปี 2022 มีรายได้ 7,806 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% กำไรสุทธิ 598 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.8% และทำธุรกิจนี้มานานกว่า 50 ปี

หาดทิพย์

หาดทิพย์กระจายพอร์ตหวังเพิ่มรายได้แต่ไม่สำเร็จ

พลตรี พัชร ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้บริษัทมีความพยายามจะขยายธุรกิจออกไปสู่อุตสาหกรรมใหม่มากขึ้น เช่น การลงทุนเกี่ยวกับร้านอาหาร และอสังหาริมทรัพย์ แต่สุดท้ายแล้วด้วยการขยายธุรกิจตรงกับช่วงเวลาโรคโควิด-19 ระบาด ทำให้เจอปัจจัยลบหลายอย่าง และต้องชะลอแผนดังกล่าวไป

“เรามีขาดทุนหลักร้อยล้านบาทเพื่อขยายธุรกิจอาหาร แต่สุดท้ายก็ต้องพับไป และหันไปให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจหลัก แม้จะมีความต้องการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ออกมาเช่นเดิม ส่วนมุมอสังหาริมทรัพย์ เรายังเดินหน้าอยู่ ผ่านโครงการบ้านจัดสรรที่หาดใหญ่ และทยอย ๆ ทำเป็นเฟสเพื่อลดความเสี่ยงด้วย”

ปัจจุบันโครงการอสังหาอยู่ในเฟสที่ 3 และพยายามนำที่ดินต่าง ๆ ที่มีในมือจำนวนมากมาสร้างรายได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม หรือธุรกิจค้าปลีก แต่ทั้งหมดยังอยู่ระหว่างศึกษา และตัดสินใจ เนื่องจากเคยเผชิญปัญหามาก่อนหน้านี้

หาดทิพย์ หาดทิพย์

มองหาสินค้าใหม่ในเครือ โคคา-โคล่า มาขาย

อย่างไรก็ตาม หาดทิพย์ อยู่ระหว่างหารือกับ โคคา-โคล่า เพื่อนำสินค้าอื่น ๆ มาจำหน่าย จากเดิมที่มีกลุ่มน้ำอัดลม เช่น โค้ก, แฟนต้า และสไปร์ท กับกลุ่มน้ำผลไม้, ชา และน้ำเปล่า เช่น น้ำทิพย์ และมินิทเมด โดยสินค้ายังเป็นกลุ่ม NARTD เช่นเดิม อาทิ เครื่องดื่มให้พลังงาน, กาแฟ และอื่น ๆ แต่ยังอยู่ในขั้นหารือ และยังไม่มีรายละเอียดใด ๆ

“โอกาสในตลาด NARTD ยังมีอีกมาก เพราะหากเทียบคนไทย กับเม็กซิโกที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกัน คนไทยดื่มอยู่แค่ 120 เสิร์ฟ/คน/ปี ส่วนเม็กซิโกดื่ม 400 เสิร์ฟ/คน/ปี (เสิร์ฟละ 8 ออนซ์) ดังนั้นเราต้องเตรียมความพร้อม และผลักดันตลาดให้เติบโตในฐานะผู้นำให้ได้”

มูลค่าตลาดน้ำอัดลมในประเทศไทยอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท มีการเติบโตต่อเนื่อง และ หาดทิพย์ มองว่า ฤดูร้อนปี 2024 มีโอกาสผลักดันให้ตลาดนี้เติบโตขึ้นอีก เนื่องจากมีอากาศค่อนข้างร้อน และมีแรงขับจากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งปกติตลาดนี้ในพื้นที่ภาคใต้จะมีการเติบโตกว่าภาพรวมตลาดทั้งประเทศไทย

หาดทิพย์ หาดทิพย์

หันมามองเรื่องขวดแก้วยกระดับเรื่องรักษ์โลก

ในทางกลับกัน หาดทิพย์ ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม และสังคมมากขึ้นผ่านการหันมาลงทุนเกี่ยวกับ ขวดแก้ว ผ่านการลงทุนราว 800 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสายการผลิตขวดแก้วที่โรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นไลน์ผลิตได้ช่วงไตรมาส 4 ปี 2024 กำลังผลิต 800 ขวด/นาที

“ปัจจุบันขวดแก้วมีสัดส่วนเพียง 3% เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ขวดพลาสติกกินสัดส่วน 75% และกระป๋อง 19% แต่การเดินหน้าแบบนี้จะช่วยเพิ่มส่วนขวดแก้วขึ้นมาเป็น 4.5-5% และเราจะจูงใจร้านค้าต่าง ๆ ให้มาจำหน่ายผ่านส่วนต่างกำไรที่ดีขึ้น และช่วยเรื่องรักษ์โลกไปด้วยกัน”

ทั้งนี้ ภายในปี 2032 หาดทิพย์ ตั้งเป้ายอดขายที่ 15,000 ล้านบาท ผ่านยอดขายสินค้ากว่า 120 ล้านลัง โดยปี 2024 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตราว 6-8% จากปี 2023 และการไปถึงเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท ยังทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อย่างร้อย 35% เช่นกัน

อ้างอิง // หาดทิพย์

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา