“เพราะออนไลน์ถึงก้าวมาขนาดนี้” Ford ย้ำให้ความสำคัญ Digital Marketing เพื่อความยั่งยืน

แม้ปัญหาบริการหลังการขายยังไม่คลี่คลาย แต่ต้องยอมรับว่า Ford มีแชร์ตลาดรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นแบรนด์ที่หลายคนพูดถึง ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าแบรนด์รถแดนมะกันไม่ลงทุน Digital Marketing ขนาดนี้

ให้ความสำคัญ และลงทุนต่อเนื่อง

Ford คือหนึ่งในแบรนด์ที่ผู้บริโภคหลายคนพบเจอะขณะที่ใช้บริการออนไลน์ต่างๆ เพราะตัวแบรนด์เองมองว่า นอกจากสื่อดั้งเดิม เช่นโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญ Digital Marketing รูปแบบต่างๆ ก็เป็นอีกอาวุธหนักในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงจุด

ศรุต อิงคะวัต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Ford ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า การลงทุน Digital Marketing ของบริษัทนั้นเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เช่นก่อนหน้านี้อยู่ที่ 10-15% ของงบการตลาด แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 25-30% เพราะช่องทางนี้ช่วยให้บริษัทเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ได้มากกว่า

ศรุต อิงคะวัต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Ford ประเทศไทย

“โทรทัศน์ และสื่อดั้งเดิมยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง Awareness อยู่ แต่ที่ Ford ลงทุน Digital Marketing มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง Search และ Video เพราะช่องทางใหม่ทำได้หลากหลาย, Interactive และจากข้อมูลที่ให้บนโลกออนไลน์ ก็ทำให้ดีลเลอร์ของเราประหยัดค่าใช้จ่ายในแง่มุมต่างๆ ได้เ่ช่นกัน”

ลดต้นทุนโชว์รูม แถมสร้างยอดเพิ่ม

ขณะเดียวกันการที่ช่องทางออนไลน์สามารถให้ข้อมูลได้ตั้งแต่คุณสมบัติ, ราคา จนไปถึงโปรโมชั่น ทำให้ดีลเลอร์ที่เปิดโขว์รูมรถกับบริษัทสามารถประหยัดต้นทุนเรื่องเบ็ดเตล็ดได้ เช่นขนม และค่าจ้างพนักงาน เพราะผู้บริโภคจะเข้ามายังโชว์รูมก็เพื่อตัดสินใจซื้อรถยนต์ ไม่ใช่มานั่งถามโปรโมชั่น หรือแค่ขอทำเรื่องทดลองขับ

ดังนั้นการขยายโชว์รูมหลังจากนี้ จึงไม่จำเป็นต้องลงทุน 80-90 ล้านบาทเหมือนในอดีต เพราะเพียงใช้พื้นที่ไม่มากเท่าเดิม และไปเน้นที่บริการหลังการขาย แต่ยืนยันว่าโชว์รูมรถยนต์ยังต้องมีอยู่ เพราะถือเป็นจุดหลักในการปิดการขาย ประกอบกับผู้บริโภคยังไม่สามารถบำรุงรักษาอาการหนักๆ ได้ด้วยตนเองได้

ปิด Gap การตลาดเชิงรับอย่างนิ่มนวล

ในทางกลับกัน Ford ไม่ได้ใช้ Digital เพื่อทำตลาดในเชิงรุกเท่านั้น เพราะในเชิงรับยังมีการจัดการปัญหาผ่านการใช้ Data Analysis เพื่อค้นหาข้อความในแง่ลบ และเข้าไปแก้ให้เร็วที่สุด โดยมีเป้าหมายคือรักษาคุณภาพในการบริการ และช่วยสร้างการเติบโตของบริษัทได้อย่างยั่งยืน

สรุป

ถือเป็นตัวอย่างที่วงการรถยนต์น่าจะให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพราะถ้าอ้างอิงข้อมูลจากกูเกิลจะพบว่า ผู้บริโภคเข้ามาใช้งานออนไลน์เพื่อหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ และเวลาก็ลดลงมาจาก 3 เดือน เหลือ 2 เดือนด้วย ดังนั้นหากไม่นับเรื่องบริการหลังการขายบางรุ่นของ Ford การอัดงบออนไลน์ก็คือทิศทางที่ถูกต้อง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา