หลังจากโดนยุโรปกีดกันทางการค้า ด้วยภาษีนำเข้าที่จะถูกตั้งกำแพงสูงลิบ แบรนด์ EV จีน รู้ตัวว่าอยู่ยาก
- วิจัยชี้ สหภาพยุโรปอาจขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเป็น 55% ป้องกันแบรนด์จีนแย่งแชร์ผู้ผลิตท้องถิ่น
- รถไฮบริดมาแรงในยุโรป สวนทางรถไฟฟ้าล้วนที่ยอดจดทะเบียนลดลง เหตุราคาแพง และจุดชาร์จไม่พอ
ล่าสุด แบรนด์ EV จีน อย่างน้อย 2 ค่ายในช่วงนี้ ได้ประกาศบุกตลาดแอฟริกาอย่างเป็นทางการแล้ว นั่นก็คือ Neta และ Xpeng
Neta บุก เคนยา – Xpeng บุกอียิปต์ – BYD เข้าไปนานแล้ว
เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Neta ได้เปิดตัวโชว์รูม Flagship แห่งแรกในประเทศเคนยา โดย Neta บอกว่า วางแผนที่จะขยายตลาดเข้าสู่ 20 ประเทศในแอฟริกาภายใน 2 ปี พร้อมตั้งเป้าเปิดโชว์รูม 100 แห่งและขายรถยนต์กว่า 20,000 คันในภูมิภาคนี้ภายใน 3 ปี
ส่วนเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นเคนยา? Neta บอกในข่าวประชาสัมพันธ์ว่า เคนยาคือจุดเริ่มต้นสู่ภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ กลาง และตะวันออก
ส่วน Xpeng ก็ลุยตลาดแอฟริกาเช่นกัน โดยได้ประกาศขาย EV 2 รุ่นในอียิปต์ คือ G9 SUV และ P7 ซีดาน ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนปี 2024
ในขณะที่ BYD ค่าย EV จีนเบอร์ต้นก็เข้าไปทำตลาดในแอฟริกาใต้ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเอารถยนต์ SUV รุ่น Atto 3 ไปขาย
แอฟริกาคือความหวังใหม่
ก่อนหน้านี้ ถ้าดูรูปแบบการทำธุรกิจ-ขยายตลาดของแบรนด์ EV จีน จะพบว่า เน้นการบุกตลาดในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก จากตัวเลขระบุว่า มี EV และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจากจีนเข้าไปในยุโรปเกือบ 40% ในปี 2023
ทางด้านคณะกรรมาธิการยุโรป มองว่าจะเป็นการทำลายตลาดในภาพรวม เลยได้ประกาศเก็บภาษีตอบโต้สูงสุดถึง 38.1% หากนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตจากจีนเข้ามาในสหภาพยุโรป
ทางออกของแบรนด์ EV จีนจึงเป็นตลาดทางเลือกใหม่ อย่างเช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา
อย่างไรก็ตามในประเทศแถบแอฟริกา มีแบรนด์รถยนต์ยุโรปอย่าง Volkswagen และค่ายญี่ปุ่นอย่าง Toyota และ Suzuki อยู่แล้ว แต่ช่องว่างคือ แบรนด์เหล่านี้ยังปรับตัวไปสู่ไฟฟ้าไม่เท่ากับแบรนด์จีน
ค่ายจีนทั้งหลายเลยมองว่า นี่คือโอกาสในการทำตลาด และตีกินภูมิภาคนี้ให้มาอยู่ในมือได้ เพราะอย่าลืมว่าในภาพใหญ่ ตลาดรถยนต์ในแอฟริกาจะเติบโตอีกมากเนื่องจากเศรษฐกิจจะขยายตัวและรัฐบาลเองก็ส่งเสริมเรื่องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วย
ที่มา – Nikkei Asia
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา