ตอนนี้กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรปเร่งเครื่องพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเต็มที่ เพื่อตอบสนองกับนโยบายลดมลพิษ และรับกับความต้องการผู้บริโภค แต่ถึงจะพัฒนาเร็วแค่ไหน Tesla ยังมีไม้ตายอย่างระบบรถยนต์ไร้คนขับที่สร้างความแตกต่าง
![tesla](https://assets.brandinside.asia/uploads/2019/05/shutterstock_716182159.jpg)
รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องมีมากขึ้น
ในกลุ่มยุโรปมีหลายประเทศที่ประกาศนโยบายห้ามจำหน่ายรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน เพราะต้องการควบคุมมลพิษ ดังนั้นค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ โดยเฉพาะแบรนด์เยอรมนีต่างพยายามทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และแบรนด์รถยนต์หรูคือผู้นำในเรื่องนี้ก็ว่าได้
เพราะ Mercedes-Benz มีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังเตรียมขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนถึง 8 รุ่นในปี 2565 ส่วน Audi และ Porsche ที่อยู่ในกลุ่ม Volkswagen ต่างเริ่มทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเช่นกัน ผ่านรุ่น e-tron และ Taycan ตามลำดับ
![mercedes-benz](https://assets.brandinside.asia/uploads/2019/12/2019-12-11_Image_19C1022-006-e1576220341893.jpg)
มีเพียง BMW ที่ดูค่อนข้างช้า แม้จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมาก่อนใครเพื่อนกับรุ่น i3 เมื่อปี 2557 แต่ด้วยการออกแบบที่ไม่ค่อยเป็น BMW จึงไม่เป็นที่นิยม และถึงจะเตรียมทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่น iX3 แบรนด์ใบพัดสีฟ้าก็ยังช้ากว่าคู่แข่งเยอรมนีด้วยกันอยู่ดี เพราะแผนรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตยังไม่ชัดเจนนัก
ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันคือหัวใจ
อย่างไรก็ตามค่ายผู้ผลิตรถยนต์ของเยอรมนีต่างมีหัวใจในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าล้วนเหมือนกันคือการใช้แพลตฟอร์มที่แบ่งปันกันภายในแบรนด์ได้อย่างอิสระ เช่น Mercedes-Benz และ BMW ที่สร้างแพลตฟอร์มกลางให้สามารถใช้ได้ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าล้วน และรถเครื่องสันดาปภายใน
![BMW](https://assets.brandinside.asia/uploads/2018/05/P90276572_highRes_bmw-group-press-conf.jpg)
หรือทาง Volkswagen ที่อาศัยความเป็นกลุ่มรถยนต์เยอรมนีที่มีแบรนด์ย่อยจำนวนมาก พัฒนาแพลตฟอร์มกลางที่ใช้ร่วมกันได้หลากหลายรุ่น ทั้งยังพัฒนาแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าที่แบ่งปันกันใช้ได้หลากหลายแบรนด์ ทำให้ค่ายรถยนต์จากเยอรมนีสามารถพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วในช่วงหลัง และทำราคาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากเยอรมนียังสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ทั้งในประเทศเยอรมนี หรือไปสร้างในจีน และประเทศคู่ค้าอื่นๆ จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันจะเห็นแบรนด์รถยนต์จากเยอรมนีเริ่มประกาศทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเต็มรูปแบบ และพร้อมท้าชน Tesla อย่างจริงจัง
บ้างสำเร็จ แต่ระยะยาวยังเทียบไม่ได้
เมื่อทุกอย่างพร้อม ประกอบกับบางประเทศในกลุ่มยุโรปมีการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เช่นการลดภาษี หรือให้สิทธิประโยชน์อื่นๆ ทำให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากเยอรมนีเอาชนะ Tesla ได้ในบางตลาด โดยเฉพาะตลาดนอร์เวย์ที่ Audi สามารถคว้ายอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมาได้
นอกจากนี้รถยนต์ไฟฟ้าล้วนของ Renault รุ่น Zoe ยังขายได้มากที่สุดในกลุ่มยุโรปช่วง 10 เดือนแรกของปี 2563 เอาชนะ Model 3 ของ Tesla ไปได้ แต่ถึงอย่างไรหากว่ากันยาวๆ นอกตลาดยุโรป หรือกระทั่งในยุโรปเอง ค่ายรถยนต์ในพื้นที่นี้ก็ยังห่างไกลจาก Tesla อยู่ก้าวหนึ่ง
![tesla](https://assets.brandinside.asia/uploads/2020/11/GettyImages-490597722.jpg)
เพราะ Tesla ได้เริ่มปล่อยสิ่งที่กั๊กออกมาแล้ว นั่นคือเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ ที่พัฒนาจนถึงขั้นขับจาก San Francisco ไปถึง Los Angeles ที่รวมระยะทางราว 600 กม. โดยแทบไม่ต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้ขับ แม้ตัวผู้ขับจะเกิดการกังวลบ้าง แต่ก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
เมื่อตามไม่ทัน ก็ยากที่จะแข่งขัน
การพัฒนาของ Tesla นั้นไปไกลกว่าแค่การมองเรื่องสมรรถนะการขับขี่ และระยะทางที่วิ่งได้ เพราะเดินหน้าไปถึงเทคโนโลยีที่จะมาพลิกอุตสาหกรรมรถยนต์กับระบบรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งฝั่งนี้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมไม่ถนัดแน่นอน ผ่านการทำแต่รถยนต์มาโดยตลอด ไม่ได้จับเรื่องเทคโนโลยีมากนัก
และหาก Tesla สามารถพัฒนาระบบรถยนต์ไร้คนขับได้อย่างสมบูรณ์แบบ เวลานั้น Tesla ก็จะก้าวไปมากกว่าค่ายผู้ผลิตรถยนต์อีกครั้ง และคราวนี้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์คงก้าวตามมาลำบากแน่นอน แต่ค่ายผู้ผลิตเหล่านั้นก็พยายามที่จะเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น สังเกตจากการจับมือกับบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ
ส่วนค่ายรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นนั้นคงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีที่ชัดเจนเพียงรายเดียวคือ Nissan ที่ลงทุนเต็มที่กับรถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีใหม่ ส่วนเจ้าตลาดอย่าง Toyota แทบไม่มีบทบาทเรื่องนี้ เพราะยังจมอยู่กับ Hybrid และ Fuel Cell เหมือนเดิม
อ้างอิง // New York Times, Engadget
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา