พรีเมียร์ลีกจะเตะคืนวันที่ 16 ส.ค. แล้ว แล้วคุณสมัครแพ็กเกจรับชม 799 บาท/เดือน ของทรู หรือยัง?

ในที่สุดการแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ หรือ พรีเมียร์ลีก ก็กลับมาฟาดแข้งคืนในวันที่ 16 ส.ค. หรือคีนนื้แล้ว แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหลายคนน่าจะยังลำบากใจกับการสมัครแพ็กเกจรับชมกับเจ้าของลิขสิทธิ์ในไทยอย่างทรูวิชั่นส์ไม่มากก็น้อย

เพราะด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หรือ 799 บาท/เดือน และหากรับชมทั้งฤดูกาลจะอยู่ที่ 5,490 บาท ซึ่งจะสมัครได้ก็ต้องเป็นลูกค้าของทรู หรือดีแทคด้วย แม้ทางทรูวิชั่นส์จะโปรโมตว่าสามารถรับชมพร้อมกันได้สองจอผ่านจุดประสงค์ที่บัญชีเดียวจะได้รับชมพร้อมกัน 2 นัด แต่จริง ๆ แล้วหลายคนคงเอาไปหารกับเพื่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตามถึงเอาราคา 5,490 บาท มาหาร 2 จะเท่ากับ 2,475 บาท แต่ก็ยังมากกว่าราคาแพ็กเกจที่ทรูประกาศออกมาในฤดูกาล 2023-24 ที่ช่วง Early Bird หรือสมัครก่อนนัดแรกจะแข่งขันมีราคาที่ 2,900 บาท ซึ่งรับชมพร้อมกันได้ 2 จอ เมื่อเอามาหาร 2 จะเท่ากับ 1,450 บาท

ทรูวิชั่นส์

คำนวณอย่างไรก็ราคาสูงอยู่ดี

พอคำนวณกับการรับชมได้ทั้ง 380 นัด ก็ทำใจจ่ายได้ไม่ยาก แต่ไม่มั่นใจว่าด้วยเป็นฤดูกาลสุดท้ายก่อนที่ทรูในการได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกในไทย และลาว กับกัมพูชา หรือไม่ จึงตัดสินใจขึ้นราคาสูงขนาดนี้ เพราะในฤดูกาล 2025-26 ก็ต้องประมูลใหม่ ซึ่งในอาเซียนก็มีการเปลี่ยนมือ เช่น เวียดนามเปลี่ยนจาก K+ เป็น CANAL+ เป็นต้น

แต่ถึงจะปรับขึ้นมาด้วยราคาสูงแค่ไหน ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าก็ไม่ควรมีใครไปกำกับให้ราคาถูก เพราะควรให้ผู้บริโภค และกลไกในการดำเนินธุรกิจเป็นตัวตัดสินมากกว่า เช่น หากตั้งราคาสูงเกินความต้องการ ผู้สมัครก็อาจจะน้อยกว่าเดิม และความคุ้มค่าในการคืนทุนก็ลดลงเช่นเดียวกัน

ยิ่งหากย้อนไปที่ฤดูกาล 2022-23 ราคาช่วง Early Bird จะอยู่ที่ 2,200 บาท ก็ยิ่งถูกขึ้นไปอีก จึงน่าสนใจไม่น้อยว่าทำไมทรูถึงปรับราคาขึ้นมาเกินเท่าตัวได้ขนาดนี้ และราคาในฤดูกาล 2024-25 นั้นไม่รวมกับฟุตบอลรายการอื่น เช่น ลีกสูงสุดของสเปน หรือรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกเดือนละขั้นต่ำ 99 บาท

ทรูวิชั่นส์

เจ้าของลีกเริ่มทำสตรีมมิงถ่ายทอดเอง

แม้ผู้บริโภคจะคุ้นเคยกับการรับชมพรีเมียร์ลีกในไทยว่าต้องมีค่าใช้จ่ายมาหลายสิบปี แต่ปัจจุบันทิศทางรายการกีฬาต่าง ๆ เริ่มหันมาพัฒนาแพลตฟอร์มสตรีมมิงของตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลีกฟุตบอลสเปน La Liga ที่ออกมาทำ LALIGA+ แอปพลิเคชันที่รวมการถ่ายทอดสดฟุตบอล และอื่น ๆ ไว้ด้วยกัน

หรือจะเป็นวอลเลย์บอล VNL และการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตอย่าง Formula 1 กับ MotoGP ที่ต่างออกมาพัฒนาระบบถ่ายทอดสดผ่านแอปพลิเคชันของตัวเอง ในราคาที่ไม่สูงมากเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการขายลิขสิทธิ์ให้กับผู้อื่นเพื่อไปช่วยทำตลาด

เรียกว่าหลายคนคงรอการเริ่มทำตลาดเองของพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่อาจช่วยให้การเข้าถึงตัวลีกนั้นทำได้ง่ายกว่าเดิม และอาจมีราคาที่เหมาะสมในแต่ละตลาดมากกว่าเดิมด้วย แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และส่วนตัวมองว่าคงต้องรออย่างไม่มีกำหนดถึงจะเกิดเรื่องนี้

VBTV

แล้วประเทศอาเซียนจ่ายค่าดูพรีเมียร์ลีกเท่าไร

จากการที่สำรวจดูพบว่า กลุ่มประเทศอาเซียนมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับผู้บริโภคในประเทศไทย เช่น ในกัมพูชา และลาวที่ต้องชำระค่าบริการเพื่อรับชมผ่านทรูวิชั่นส์เช่นเดียวกับคนไทย ส่วนในสิงคโปร์นั้นต้องจ่ายเริ่มต้นราว 1,080 บาท/เดือน

มาเลเซีย กับบรูไนมีค่าบริการ 790 บาท/เดือน ส่วนประเทศที่เหลือประกอบด้วยอินโดนีเซีย, เมียนมา และเวียดนาม จะมีค่าบริการเฉลี่ยราว 150 บาท/เดือน ทั้งหมดนี้สามารถรับชมได้ 380 นัด ส่วนในฟิลิปปินส์ยังไม่มีความชัดเจนว่าสามารถรับชมพรีเมียร์ลีกได้ฟรีหรือไม่ เพราะเป็นค่าซื้อผ่าน Setenta Sports ที่ให้บริการในหลายประเทศ

เมื่อราคาเป็นแบบนี้อาจบอกได้ว่า ประเทศไทยก็คงไม่ได้มีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน แต่อาจด้วยการปรับราคาขึ้นเกือบเท่าตัวของทรูวิชั่นส์ทำให้ผู้บริโภคในไทยมองว่าราคาอาจจะสูงกว่าเดิมค่อนข้างมาก และมองว่าเป็นราคาที่ไม่เหมาะสมนัก

TV

รอลุ้นทรูทำแพ็กเกจพิเศษลดราคาจูงใจ

แม้จะถึงวันสุดท้ายแล้ว แต่ทรูวิชั่นส์ยังไม่มีการลดราคา หรือทำแพ็กเกจพิเศษออกมาเพื่อจูงใจผู้บริโภคให้มาสมัครรับชมพรีเมียร์ลีก หนึ่งในรายการสำคัญที่จูงใจให้ผู้บริโภคสมัครใช้บริการทรูวิชั่นส์มาโดยตลอด มีแพียงแต่เพิ่มจำนวนการลงทะเบียนรับชมผ่านแอปพลิเคชัน True Visions Now ให้ได้ 5 อุปกรณ์ แต่รับชมพร้อมกันได้ 2 จอ เช่นเดิม

หากเจาะไปที่กลุ่มลูกค้าทรูวิชั่นส์จะพบว่า ธุรกิจ Pay TV ของกลุ่มทรูมีผู้สมัครสมาชิกสิ้นไตรมาส 2 ปี 2024 อยู่ที่ 1.3 ล้านราย ลดลง 7.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีรายได้เฉลี่ยต่อรายต่อเดือน หรือ ARPU อยู่ที่ 281 บาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ส่วนภาพรวมรายได้ของธุรกิจนี้อยู่ที่ 1,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 7% แบ่งเป็น ค่าสมาชิก และค่าติดตั้ง 1,100 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 600 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 ทางกลุ่มทรูมีรายได้รวมทุกธุรกิจทั้งหมด 41,500 ล้านบาท

สรุป

แม้ราคาจะสูง แต่เชื่อว่าแฟนบอลส่วนหนึ่งก็คงยอมจ่าย และก็คงมีไม่น้อยที่รู้สึกว่าราคาสูงจนตัดสินใจไม่จ่าย จนเกิดการใช้ช่องทางธรรมชาติในการรับชม ซึ่งก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า ในไตรมาส 3 ปี 2024 พรีเมียร์ลีกที่กลับมาเตะอีกครั้งจะช่วยดึงยอดสมาชิก และ ARPU เพิ่มขึ้นหรือไม่ และในฤดูกาลถัดไปสิทธิ์พรีเมียร์ลีกในไทยจะไปตกอยู่กับใคร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา