Disney ประกาศซื้อกิจการ 21st Century Fox มูลค่า 52,400 ล้านเหรียญสหรัฐ

หลังจากมีข่าวลือเรื่องขายกิจการของ 21st Century Fox ที่จะขายให้กับ Disney ที่ทาง Brand Inside ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น ต่อมานั้นมีผู้ที่สนใจจะซื้อ 21st Century Fox ไม่ว่าจะเป็น Comcast หรือแม้แต่ Verizon ก็ต่างจับจ้องดีลนี้เช่นกันถ้าหากว่า Disney เจรจาไม่สำเร็จ แต่ล่าสุดนั้นดีลนี้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นดีลใหญ่ในรอบปีนี้ของวงการสื่อเลยทีเดียว

Bob Iger และ Rupert Murdoch ภาพจาก Business Wire

มูลค่าดีล 2.1 ล้านล้านบาท ซีอีโอ Disney อยู่ต่อถึงปี 2021

ดีลมูลค่า 52,400 ล้านเหรียญสหรัฐนี้นั้นยังไม่ได้นับรวมหนี้ของ 21st Century Fox ถ้านับรวมหนี้แล้วดีลนี้จะมีมูลค่า 66,100 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.1 ล้านล้านบาท) ทาง Disney จะออกหุ้นใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นของ 21st Century Fox ซึ่งเป็นอัตราส่วน 1 ต่อ 0.2745 หุ้น Disney ด้วยอัตราส่วนนี้จะทำให้ตระกูล Murdoch นั้นถือหุ้นอยู่ใน Disney น้อยกว่า 5%

แผนการควบรวมครั้งสำคัญของ Disney มาจาก Robert Iger ซีอีโอผู้นำพา Disney กลับมาสู่ยุคทอง ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งประกาศเกษียณอายุตัวเองในอีกไม่ช้า แต่หลังอภิมหาดีล Fox ทำให้เขาตัดสินใจ “อยู่ต่อ” เพื่อจัดการเรื่องควบรวมให้เรียบร้อย โดยจะเกษียณตัวเองในปี 2021 หลังเคลียร์เรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

ทาง Rupert Murdoch เองได้กล่าวว่าตัวเขาเองนั้นได้โน้มน้าวให้ Bob Iger นั้นควบรวมกิจการ และตัวเขาเองก็มั่นใจว่านี่จะเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในโลกอีกบริษัทหนึ่งภายใต้การบริหารของ Bob Iger

ที่ปรึกษาของอภิมหาดีลนี้ได้แก่ JPMorgan และ Guggenheim Partners รวมไปถึงที่ปรึกษาทางกฏหมายอย่าง Cravath, Swaine & Moore สำหรับฝั่ง Disney ส่วนทางด้าน 21st Century Fox นั้นได้ Goldman Sachs และ Centerview Partners รวมไปถึงที่ปรึกษาด้านกฏหมายอย่าง Skadden Arps

Disney จะได้อะไรไปบ้างในอภิมหาดีลครั้งนี้

สิ่งที่ Disney ได้ซื้อกิจการของ 21st Century Fox ไป ได้แก่

  • หุ้น 39% ในเคเบิลยักษ์ใหญ่ในประเทศอังกฤษอย่าง Sky ซึ่งรวมไปถึง Sky Deutschland, Sky Italia
  • สตูดิโอหนังทั้งหมดของ Fox
  • หุ้นที่ 21st Century Fox ถืออยู่ใน Hulu ประมาณ 30%
  • ช่องทีวีอย่าง National Geographic และ FX
  • เครือข่ายทีวีผ่านดาวเทียมสำหรับขายให้ Pay TV อย่าง Star TV ในประเทศอินเดีย และ Fox ทั่วโลก
  • Pay TV ในประเทศอินเดีย TATA Sky

ดีลนี้นั้นจะทำให้ Disney นั้นประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้สูงสุดถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐหลังจากการควบรวมกิจการสำเร็จภายในปีที่ 2 และแถมยังทำให้ส่วนแบ่งทางด้านสตูดิโอหนังของ Disney นั้นมีสัดส่วนทางการตลาดประมาณ 49% เลยทีเดียว

นี่ยังไม่นับรวมไปถึงช่องทางออกอากาศไม่ว่าจะเป็นทีวีบอกรับสมาชิก หรือการขาย content ผ่านเครือข่ายทีวีผ่านดาวเทียมทั่วโลก ทำให้ Disney นั้นมีช่องทางออกอากาศมากยิ่งขึ้น ซึ่งในช่วงผ่านมานั้น Disney ประสบปัญหาเรื่องของช่องทางเอาไว้ออกอากาศมาก ซึ่งการที่ Disney นั้นซื้อ 21st Century Fox ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และมาถูกที่ถูกเวลา

21st Century Fox เหลืออะไรบ้าง

สิ่งที่ Fox เหลืออยู่นั้นได้แก่

  • Fox Sports 1 และ 2 (FS1, FS2) ในสหรัฐอเมริกา
  • Fox Business
  • Fox News
  • Big Ten Network
  • เครือข่ายโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา

ทาง Disney จะจ่ายเงินให้ประมาณ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นปันผลพิเศษให้กับบริษัทใหม่ ซึ่งช่องทีวีที่เหลือและเครือข่ายทีวีใหม่นั้นทาง Rupert Murdoch นั้นเตรียมที่จะแยกออกมาเป็นบริษัทใหม่ในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดิมเหมือนสมัย News Corp ได้แยก 21st Century Fox ออกมาเป็นบริษัทใหม่ โดยมีการคาดการณ์ว่าจะให้ลูกชายอีกคนนั้นบริหารแทน ส่วนทางด้านของ James Murdoch นั้นมีการคาดการณ์ว่าอาจได้ไปนั่งเป็นบอร์ดผู้บริหารของทาง Disney

X-Men: Apocalypse หนังปี 2016 ที่เป็นสิทธิของ Fox

X-Men, Deadpool, Fantastic Fours มาอยู่ใต้ร่มเดียวกับ The Avengers

ผลที่เกิดขึ้นคือ ภาพยนตร์ดังๆ ในสังกัด Fox อย่าง X-Men, Fantastic Four, Avatar, The Simpsons และช่องสารคดี National Geographic จะกลายมาเป็นของ Disney

ประเด็นสำคัญคือซีรีส์ X-Men, Deadpool และ Fantastic Four ที่จะกลับมาอยู่ใต้ร่มเดียวกับฮีโร่อื่นๆ ของค่าย Marvel (ซึ่งเป็นของ Disney เช่นกัน) ความฝันของแฟนๆ หนังฮีโร่ที่จะได้เห็น X-Men มาปรากฏตัวในหนัง The Avenger จึงจะเป็นจริงสักที

หนังดังเรื่องอื่นๆ ของ Fox ก็อย่างเช่น The Grand Budapest Hotel, Hidden Figures, Gone Girl, The Shape of Water, The Martian รวมถึงทีวีซีรีส์ The Americans, This Is Us, Modern Family, The Simpsons ด้วย

และไม่ต้องแปลกใจว่าในอีกไม่ช้า เราจะเห็น X-Men หรือ Avatar ไปโผล่ใน Disneyland ตามจุดต่างๆ ทั่วโลก เพื่อขยายตลาดแฟนๆ ที่ไปเที่ยวสวนสนุกให้มากขึ้น

ภาพยนตร์ของ Disney ที่เข้าฉายในช่วงนี้ มีทั้ง Marvel, Pixar, Star Wars

Disney กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการหนัง พุ่งชน Netflix

การควบรวมกันระหว่างสองค่ายหนังยักษ์ใหญ่ Disney และ Fox ส่งผลให้ Disney กลายเป็นสตูดิโอยักษ์ใหญ่ของวงการภาพยนตร์โลก มีหนังและแฟรนไชส์หลากหลาย

ก่อนหน้านี้ Disney ประกาศจะทำบริการสตรีมมิ่งของตัวเองแข่งกับ Netflix โดยเบื้องต้นจะมีหนังของตัวเองอย่าง Disney, Pixar, Marvel, Star Wars ขึ้นไปฉาย การควบรวมกับ Fox จะส่งผลให้ Disney มีอำนาจต่อรองด้านคอนเทนต์มากขึ้น และบริการสตรีมมิ่งของ Disney ย่อมจะดึงดูดลูกค้ามากขึ้น เพราะมีหนังดังในสังกัดเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

วิสัยทัศน์ของ Disney มองโลกความบันเทิงในอนาคตว่าบริษัทจะต้อง “สร้างประสบการณ์ส่งตรงถึงผู้ชม” (Direct-to-Consumer หรือ DTC) มากขึ้น แผนการสร้างระบบสตรีมมิ่งของตัวเองทั้งภาพยนตร์ (ยังไม่มีชื่อเรียก) และกีฬา (ใต้แบรนด์ ESPN) จึงเป็นก้าวสำคัญของ Disney

ในอีกทาง บริการดูทีวีซีรีส์ออนไลน์ Hulu ที่เกิดจากการลงขันกันของ 4 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ ได้แก่  The Walt Disney Company (30%), 21st Century Fox (30%), Comcast (30%), Time Warner(10%) ก็จะกลายเป็นบริษัทในสังกัดที่ Disney ถือหุ้นใหญ่รวม 60% ทำให้ Hulu กลายมาเป็นหนึ่งในสมการ DTC ของ Disney ด้วย

ปัญหาของ Sky น่าจะเคลียร์ได้จบแน่นอน

ปัญหาใหญ่ในอดีตของ 21st Century Fox คือยังไม่สามารถซื้อกิจการของ Sky ได้ทั้งหมดในขณะนี้ (ซึ่งถือหุ้นอยู่ตอนนี้ที่ 39%) และเรื่องต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกันก็คือทาง Sky กำลังถูกจับตามองจากหน่วยงานควบคุมที่อังกฤษอย่าง Ofcom (คล้ายๆ กสทช. บ้านเรา) จับตามองโดยเฉพาะเรื่องของ Sky News ว่าหลังจาก Sky ขายกิจการให้ 21st Century Fox นั้นจะยังมีเสรีภาพและความโปร่งใสในการเสนอข่าวหรือไม่ ซึ่งหลังจากที่ Disney ได้ซื้อกิจการจาก 21st Century Fox นั้นคาดว่าจะทำให้ดีลของ Sky นั้นสามารถซื้อกิจการได้หมดแน่นอน โดย Disney ได้เตรียมเงินรอซื้อกิจการของ Sky ต่อ

Disney จ่ายให้ 21st Century Fox ถ้าดีลนี้ไม่ผ่าน

ทาง Disney นั้นพร้อมจ่ายให้ 21st Century Fox มูลค่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐถ้าหากดีลนี้ไม่สำเร็จ ถ้าหากโดนหน่วยงานกำกับดูแลขวางไม่ได้การซื้อกิจการครั้งนี้นั้นสำเร็จ ส่วนถ้า Disney และ 21st Century Fox อาจต้องจ่าย 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าหากต่างฝ่ายนั้นยกเลิกการซื้อกิจการครั้งนี้

ที่มาDisney, เอกสารเสนอแก่นักลงทุนของ Disney, Bloomberg, Financial Times

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา