ส่องอาณาจักร Walt Disney หลังจบสัญญากับ Netflix เตรียมเปิดบริการ Streaming ของตัวเอง

ขึ้นชื่อว่า Walt Disney หลายคนคุ้นเคยกับการเป็นผู้ผลิตการ์ตูนฝรั่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่จริงๆ แล้ว Disney เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจหลากหลายมาก ทั้งภาพยนตร์, เคเบิลทีวี, สิ่งพิมพ์, เพลง, ข่าว, วิดีโอเกม, สวนสนุก รวมถึงสินค้าลิขสิทธิ์ต่างๆ

ดังนั้นการมีข่าวว่า Disney จะออกมาทำบริการ Streaming ของตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

จบสัญญากับ Netflix จุดเริ่มต้นบริการของตัวเอง

หลังจบสัญญาในการเผยแพร่คอนเทนต์ผ่าน Netflix ในปี 2019 หรืออีก 2 ปีจากนี้ Disney เตรียมเริ่มต้นบริการ Streaming ของตัวเอง เพราะเห็นแล้วว่า ด้วยคอนเทนต์สารพัดรูปแบบของตัวเองไม่จำเป็นต้องส่งไปถึงมือผู้บริโภคผ่าน แพลตฟอร์มของ Netflix อีกต่อไป

ยิ่งธุรกิจหลักหลายตัวของ Disney ไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น ช่อง ESPN ที่เป็นหัวหอกสำคัญในการสร้างรายได้ด้วยรายการกีฬา แต่กลับมีสัดส่วนรายได้ที่ลดลงเพราะผู้บริโภคหันไปรับชมรายการผ่าน Streaming มากกว่า

เป็นสิ่งยืนยันว่า Disney ต้องเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองได้แล้ว

ภาพจาก Facebook ของ Walt Disney

จ่าย 1.58 พันล้านดอลลาร์ เตรียมโครงสร้างพื้นฐาน

การจะมีแพลตฟอร์ม Streaming สำคัญคือ โครงสร้างพื้นฐาน ซึ่ง เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา Disney ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัท BAMTech เพิ่มขึ้นอีก 42% มูลค่า 1.58 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมถือหุ้นอยู่ 33% ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 75% เตรียมพร้อมสำหรับการให้บริการ Streaming เต็มรูปแบบ

สำหรับบริษัท BAMTech เป็นบริษัทในเครือ MLB Advanced Media กลุ่มพันธมิตรจากสโมสรเบสบอลในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา ซึ่ง BAMTech เกิดจากการร่วมทุนของ MLB Advanced Media, National Hockey League และ Walt Disney เพื่อให้บริการด้าน Streaming เป็นหลัก

BAMTech ดูแล Streaming ให้กับลูกค้าหลัก เช่น HBO (ภาพยนตร์), MLB (เบสบอล), NHL (ฮอกกี้) และ WWE (มวยปล้ำ) ดังนั้นนี่คือ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ Disney อย่างชัดเจน

ภาพจาก Facebook ของ Walt Disney

บริการ Streaming ของตัวเอง ขุมพลังมหาศาล

ถ้า Disney เปิดบริการ Streaming ของตัวเอง ทั้งช่องกีฬา ESPN ที่ถือลิขสิทธิ์กีฬาจำนวนมากกว่า 10,000 การแข่งขันตลอดปี ทั้งระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับนานาชาติ

การ์ตูนของ Disney และ Pixar เช่น Toy Story 4, The Frozen 2 หรือ The Lion King ภาคแสดงจริง และยังมีช่อง Disney Channel, Disney Junior และ Disney XD

ยังมี ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง เช่น สตาร์วอร์ส ทุกภาค, ภาพยนตร์จักรวาลของ Marvel, รวมภาพยนตร์เทพนิยายที่จะกลายเป็นคนแสดงจริง และรวมถึงซีรีส์ทางทีวีในอนาคตจะไปปรากฏบน Streaming ของ Disney ทั้งหมด

ก่อนปี 2019 ที่สัญญากับ Netflix จะหมดลง Luke Cage, Jessica Jones หรือ The Punisher และเรื่องอื่นๆ ยังคงฉายผ่าน Netflix อยู่ แต่หลังจากนั้นคอนเทนต์ทั้งหมดจะถูกดึงมาอยู่กับบริการ Streaming ของ Disney เท่านั้น

ภาพจาก Facebook ของ Walt Disney

สรุป

เจ้าของคอนเทนต์ที่มีอยู่มหาศาลอย่าง Walt Disney มีพลังเต็มที่ ที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองเพื่อให้บริการคอนเทนต์และช่องรายการต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ในทางตรงข้าม จะเป็นคำถามมากกว่า ทำไมไม่ทำ สำหรับในประเทศไทยเอง แม้จะเทียบขนาดของตลาดไม่ได้เลย แต่การพึ่งพาแพลตฟอร์มคนอื่นๆ ได้ส่วนแบ่งรายได้ที่น้อยมาก ดังนั้น ช่อง 7 จึงพยายามสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองผ่าน bugaboo.tv และตอนนี้ ช่อง 3 ก็กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มอยู่เช่นกัน เพราะรู้ว่าทั้ง Youtube และ Facebook ไม่ใช่คำตอบ

ภาพจาก Facebook ของ Walt Disney

source: cnn.com, theWaltDisneycompany.com

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา