ปรับโครงสร้างใหม่ เน้นธุรกิจสตรีมมิ่ง
Disney ประกาศแผนการปรับโครงสร้างองค์กรเชิงกลยุทธ์ โดยจะควบแผนกธุรกิจสื่อและธุรกิจบันเทิงเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายในการดูแลช่องทางการเผยแพร่สื่อ ขายโฆษณา และเน้นทำการตลาดแบบ DTC หรือ Direct-To-Consumer ซึ่งมีตัวชูโรงคือธุรกิจสตรีมมิ่ง Disney+
Bob Chapek ซีอีโอ Dysney ระบุว่า แผนการปรับโครงสร้างค์องกรในครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลโดยตรงของโควิดที่ส่งผลกระทบ เพียงแต่ว่าโควิดคือตัวเร่งปฏิกิริยาในการเปลี่ยนผ่านของบริษัท เพราะแนวทางนี้เป็นสิ่งที่บริษัทจะเดินหน้าไปอยู่แล้ว
ในอดีต Disney สร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อลงฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก แต่นับจากนี้โรงภาพยนตร์ไม่ใช่อนาคตอีกต่อไป เนื่องจากผลกระทบของโควิดทำให้แม้แต่อนาคตของโรงภาพยนตร์ยังเป็นสิ่งที่คลุมเครือ (ลองอ่านข่าว Cineworld Group บริษัทโรงหนังอันดับ 2 ของโลก ขาดทุน 1,600 ล้านเหรียญใน 6 เดือนแรกของปีนี้ และสมาคมโรงภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ยืนยัน ถ้ารัฐบาลไม่ช่วย โรงหนังทั้งประเทศล้มละลาย)
การผลิตคอนเทนต์ของ Disney หลังจากนี้จะโฟกัสไปที่การฉายบน Disney+ รวมถึงภาพยนตร์เรื่องที่ถ่ายทำเสร็จแล้วและประสบกับปัญหาโควิด ทำให้ไม่สามารถฉายในโรงภาพยนตร์ได้ ก็จะนำมาฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเช่นเดียวกัน เช่น Mulan เวอร์ชั่นคนแสดงที่ Disney เตรียมสตรีมมิ่งบน Disney+
การลุยธุรกิจสตรีมมิ่งของ Disney โดดเด่นมาตั้งแต่ก่อนหน้าโควิด โดยในปัจจุบันแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Disney+ มีสมาชิกทั่วโลก 60 ล้านราย (แต่ยังไม่ได้เข้ามาให้บริการในไทย แม้จะมีหน้าเว็บไซต์แล้วก็ตาม)
ธุรกิจสวนสนุกหดตัว รายได้หายเพราะโควิด
การประกาศปรับโครงสร้างองค์กรของ Disney ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ธุรกิจสตรีมมิ่งคืออนาคตอย่างที่อดีตซีอีโอ Bob Iger เคยกล่าวไว้
แต่ในอีกด้านหนึ่ง นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่าถึงการปรับตัวครั้งสำคัญของ Disney ที่เอาเข้าจริงแล้ว มีหนึ่งธุรกิจใหญ่อยู่เบื้องหลังอย่าง “สวนสนุกและรีสอร์ต” ที่ครองส่วนแบ่งรายได้กว่า 1 ใน 3 ของบริษัท แต่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างสาหัส ข้อมูลล่าสุดคือเตรียมปลดพนักงานในธุรกิจส่วนนี้ถึง 28,000 ราย รวมถึงเมื่อเปิดดูรายได้ในไตรมาส 2 ของปี 2020 พบว่าธุรกิจในส่วนนี้ขาดทุนมากที่สุดในบริษัท
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา