ศึกตัดราคา ETF เมื่อ Deutsche Asset Management หั่นราคาค่าธรรมเนียมบริหารลงอีก

ปกติแล้วการลงทุนในกองทุนรวมหรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ETF เรื่องของค่าธรรมเนียมบริหารนี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ยิ่งกองทุนเป็นสินทรัพย์ชนิดเดียวกัน แต่หากค่าธรรมเนียมบริหารแตกต่างกันนั้น ผลตอบแทนในระยะยาวยิ่งทำให้เห็นว่าค่าธรรมเนียมนั้นดูดกลืนผลตอบแทนที่เราสมควรจะได้ มาถึงตอนนี้เหล่า ETF เจ้าดังๆ ต่างแย่งตัดค่าธรรมเนียมบริหารลง Brand Inside จะพาไปดูศึกตัดราคานี้กันครับ

ธง Deutsche Bank ในงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2016 (รูปภาพจาก Deutsche Bank)

โดยล่าสุดทาง Deustche Bank Asset Management ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธนาคารชื่อดัง Deutsche Bank นั้นได้ตัดราคา db-Xtrackers USD High Yield Corporate Bond ซึ่งเป็น ETF เรือธงของทาง Deutsche Bank โดยลดค่าธรรมเนียมบริหารจากปีละ 0.25% เหลือ 0.2% โดยค่าธรรมเนียมบริหารนี้ถือว่าน้อยกว่าทางฝั่ง BlackRock ที่มีค่าธรรมเนียมบริหารที่ 0.49% หรือ Vanguard ที่ 0.23% ด้วยซ้ำ

ทำไมถึงต้องตัดราคาค่าธรรมเนียมบริหาร

Brand Inside เคยเขียนกล่าวถึงเรื่อง Passive Investing ว่าตอนนี้กำลังเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะเม็ดเงินมหาศาลที่ไหลออกจากกองทุนบริหารแบบเชิงรุกที่มีผู้จัดการกองทุนนั้นเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์บริหารให้กับเรา มาสู่การลงทุนแนวเชิงรับแทน ทำให้ ETF หลายๆ กองที่อิงสินทรัพย์ต่างๆ นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างในประเทศไทย กองทุนทองคำส่วนมากถึง 50% ใช้ ETF ของ State Street SPDR Gold เป็นหลักในการลงทุนอีกที หรือสหรัฐอเมริกาที่กองทุนที่ได้รับความนิยมคือกองทุนที่อิงดัชนีอย่าง S&P 500

ฉะนั้น ยังมีเม็ดเงินอีกมหาศาลรอเข้าสู่ ETF อีกมากมาย การที่ตัดราคาค่าธรรมเนียมบริหารนั้น จะทำให้นักลงทุนนั้นสนใจใน ETF กองนั้นมากขึ้น เมื่อเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ ETF กองนั้นๆ เมื่อคิดเทียบกับค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าแต่เก่า ยกตัวอย่างเช่น ETF ของ Vanguard S&P 500 นั้นลดค่าธรรมเนียมบริหารลงเรื่อยๆ เมื่อมีสินทรัพย์ในการบริหารมากขึ้นถือว่าเป็น Win-Win ระหว่างนักลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนด้วย

ศึกแย่งเงินมหาศาล

อ้างอิงจากข้อมูลของ ETF.com นั้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ให้บริการ ETF ใหญ่สุด 5 อันดับมีดังนี้

  1. BlackRock มูลค่าสินทรัพย์ในการดูแล 1.288 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
  2. Vanguard มูลค่าสินทรัพย์ในการดูแล 808,896 ล้านเหรียญสหรัฐ
  3. State Street มูลค่าสินทรัพย์ในการดูแล 577,233 ล้านเหรียญสหรัฐ
  4. Invesco มูลค่าสินทรัพย์ในการดูแล 132,336 ล้านเหรียญสหรัฐ
  5. Charles Schwab มูลค่าสินทรัพย์ในการดูแล 90,731 ล้านเหรียญสหรัฐ

5 อันดับเหล่านี้นั้นครอบครองสินสินทรัพย์ในการดูแลประมาณ 89% ของมูลค่าการลงทุน ETF ในสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว

ตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบันเงินได้ไหลออกจากกองทุนเชิงรุกมาสู่กองทุนเชิงรับอย่างเห็นได้ชัด (ข้อมูลจาก Goldman Sachs)

ยิ่งถูกเงินยิ่งเข้า

อ้างอิงจาก Bloomberg นั้น ยิ่ง ETF มีค่าธรรมเนียมบริหารถูกมากเท่าไหร่ เม็ดเงินมหาศาลจะไหลเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด ในปีนี้เม็ดเงินในสหรัฐอเมริกานั้นกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นไหลเข้า ETF ที่มีค่าธรรมเนียมบริหารถูกทั้งนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับ ETF ที่มีค่าธรรมเนียมบริหารที่แสนแพง

รายอื่นๆ ก็หันมาตัดราคาค่าธรรมเนียมบริหารด้วยเช่นกัน

กลางเดือนที่ผ่านมาทาง State Street ได้ตัดราคาค่าธรรมเนียมบริหาร ETF อีก 15 กอง โดย ETF ที่เหลือค่าธรรมเนียมบริหารน้อยที่สุดนั้นคือ SPDR Russell 3000 ETF โดยค่าธรรมเนียมบริหารต่อปีนั้นเหลือเพียงแค่ 0.03% จากตอนแรกอยู่ที่ 0.10% ต่อปี โดยการตัดราคาแบบนี้ State Street หวังว่าจะได้สู้กับทาง BlackRock และทาง Vanguard ได้มากขึ้น

ผลประโยชน์ของนักลงทุนแบบเห็นๆ

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรายกลางตอนนี้ อย่างเช่น Deustche Bank Asset Management ที่เป็นอันดับ 14 นั้นยังเริ่มตัดราคาค่าธรรมเนียมบริหารลงแล้ว รายกลางถึงรายเล็กๆ ย่อมทำตามแน่นอน เพราะเม็ดเงินมหาศาลเหล่านี่ยังรอเข้ามาอีกมาก และนี่เป็นการบีบให้ BlackRock และ Vanguard ตัดราคาลงมาอีก แต่ท้ายที่สุดแล้วนักลงทุนย่อมได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะค่าธรรมเนียมที่หายไปนั้นจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นกว่าเดิม และศึกตัดราคาค่าค่าธรรมเนียมบริหารครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอีกแน่นอน

ที่มา – Bloomberg [1], [2]Financial Times

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Content Writer ที่สนใจในเรื่องของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม TMT (Technology, Media, Telecom) การควบรวมกิจการ (M&A) นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยทางธุรกิจที่น่าสนใจ