ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้สังคมการทุกวันนี้ตึงเครียดมากขึ้น คือ การติดต่อสื่อสารกันเรื่องงานนอกเวลาทำงาน
โดยเฉพาะในยุคที่เรา work from home กันเป็นหลัก ตัวเราเชื่อมต่อเข้ากับที่ทำงานตลอดเวลาผ่านช่องทางอย่าง Line, Slack, ไปจนถึง MS Team เหมือนประตูสู่ที่ทำงานอยู่แค่ปลายนิ้วเท่านั้น
กลายเป็นว่า ถึงในกระดาษจะเขียนเอาไว้ว่าเราทำงาน 8-9 ชั่วโมง/วัน แต่ในความเป็นจริงเราอาจทำงานมากกว่านั้น นี่ยังไม่รวมถึงเวลาที่ต้องมานั่งเครียดหรือรู้สึกไม่ดีจากงานจนเวลาส่วนตัวที่จะได้ทำสิ่งที่ชอบหรือใช้ชีวิตนอกเหนือจากงานก็ถูกลดทอนลงไปอีก
ลองนึกภาพตามง่ายๆ ทำงานจนเครียด พอกลับบ้านมาก็ไม่อยากคุยกับคนในครอบครัว นั่นคือตัวอย่างของการที่มิติด้านอื่นของชีวิตถูกเบียดบังไปจากเรื่องงาน (แม้ไม่ได้ทำงานอยู่ก็ตาม)
สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อจากงาน
ในประเทศที่พัฒนาแล้วจึงมีการพูดถึง สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อจากงาน (right to disconnect) ให้คนๆ หนึ่งได้ใช้ชีวิตมิติอื่นๆ เช่น งานอดิเรก ดูแลสุขภาพ สานสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ในช่วงเวลาส่วนตัวได้อย่างเต็มที่
โดยไม่มีเรื่องงานมารุกล้ำช่วงเวลาส่วนตัวตรงนี้
คำถามคือ แล้วอะไรคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้พนักงานคนหนึ่งมีสิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อจากงานได้อย่างเต็มที่?
ถ้าเราลองเรียนรู้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว คำตอบของเรื่องนี้คือ “กฎหมายแรงงาน” ที่จะสั่งห้ามไม่ให้งานรุกล้ำชีวิตส่วนตัว และตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ การห้ามติดต่อสื่อสารเพื่อพูดคุยเรื่องงานนอกเวลางาน ไม่ว่าจะผ่านอีเมลหรือช่องทางอื่นๆ ที่มีหลากหลายในปัจจุบัน
วันนี้เราจะมาลองดูกันว่า แล้วมีประเทศอะไรบ้างที่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ติดต่อเรื่องงานนอกเวลางาน
ประเทศที่มีกฎหมายห้ามติดต่องานนอกเวลางาน
โปรตุเกส
โปรตุเกส คือ ประเทศล่าสุดที่เพิ่งจะมีการบัญญัติกฎหมายคุ้มครองให้พนักงานที่ทำงานทางไกลสามารถตัดการเชื่อมต่อกับโลกของการทำงานได้ดีขึ้น โดยเพิ่งจะผ่านกฎหมายไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ
กฎหมายดังกล่าวระบุให้ นายจ้างต้องรับโทษตามกฎหมายหากติดต่อหาลูกจ้างนอกเวลางาน ไม่ว่าจะผ่านอีเมลหรือช่องทางอื่นๆ
กฎหมายดังกล่าวยังให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ทำงานทางไกลในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น
- ให้นายจ้างช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกจ้างที่เพิ่มขึ้นจากการทำงานที่บ้าน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือ อินเทอร์เน็ต
- ห้ามไม่ให้นายจ้างเฝ้าจับตาการทำงานของพนักงานที่ทำงานทางไกล
- พนักงานต้องมีโอกาสได้พบหัวหน้าอย่างน้อยทุกๆ สองเดือนเพื่อไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยวในการทำงานเกินไป
ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศส คือ ประเทศแรกๆ ที่ปลุกกระแสสังคมให้ตั้งคำถามถึงการทำงานแบบ always-on เพราะเป็นประเทศที่มอบสิทธิจะตัดการเชื่อมต่อจากงานให้กับพนักงานมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2017 หรือตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว
กฎหมายของฝรั่งเศสระบุว่า หากบริษัทมีพนักงานมากกว่า 50 คน พนักงานมีสิทธิที่จะปิดอุปกรณ์สื่อสารนอกเวลางาน และเจ้านายก็ไม่มีสิทธิที่จะติดต่อหาพนักงานนอกเวลางาน
และแม้ว่าจะไม่มีโทษตามกฎหมายสำหรับบริษัทที่ละเมิดกฎหมายนี้ แต่ก็เคยมีกรณีที่ฟ้องร้องกันจนบริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายกว่า 60,000 ยูโร หรือกว่า 2,250,000 บาท เพื่อชดเชยการที่ลูกจ้างต้องทำงานนอกเวลา
สเปน
ในประเทศสเปน มีการรับรองสิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อจากที่ทำงานไว้อย่างชัดเจนในมาตรา 88 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 3/2018 โดยระบุให้นายจ้างจะต้องออกแบบนโยบายภายในที่เอื้อให้พนักงานสามารถตัดการเชื่อมต่อจากงานได้จริงๆ
แม้จะไม่ได้มีข้อบังคับอย่างชัดเจนว่าบริษัทจะต้องทำอย่างไร แต่บริษัทส่วนใหญ่จะใช้มาตรการ เช่น
- ให้ลูกจ้างมีสิทธิที่จะเพิกเฉยข้อความ อีเมล หรือโทรศัพท์ นอกเวลางาน
- ระบุให้ผู้จัดการติดต่อเรื่องงานกับพนักงานนอกเวลางาน
- ประชุมได้เฉพาะในเวลางานเท่านั้น
อิตาลี
กฎหมายอิตาลีระบุไว้ว่าเวลาที่ใช้ในการทำงานทางไกลในแต่ละวันจะต้องไม่มากไปกว่าเวลาทำงานสูงสุดที่ระบุไว้ตามกฎหมาย แถมยังมีกฎหมายระบุอีกด้วยว่า องค์กรจะต้องมีมาตรการบังคับเพื่อให้พนักงานสามารถตัดการเชื่อมต่อจากงานได้จริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเชิงองค์กรที่สั่งห้ามไม่ให้พนักงานพูดคุยเรื่องงานนอกเวลางาน หรือ มาตรการทางเทคนิคที่ป้องกันไม่ให้พนักงานเข้าถึงอีเมลนอกเวลางานได้เป็นต้น
พูดง่ายๆ ว่าแม้จะได้ระบุคำว่า “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อจากงาน” เอาไว้อย่างชัดเจน แต่ก็บังคับองค์กรเอาไว้อ้อมๆ ว่าจะต้องมอบสิทธินี้ให้กับพนักงานทุกคน
ที่มา – Vice, eurofound, Proskauer, European Parliament, SHRM, The Telegraph
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา