คอกาแฟจงระวัง ในอนาคตอันใกล้ กาแฟจะเริ่มขาดแคลน ขาดตลาด และเลวร้ายที่สุดคืออาจสูญพันธุ์ สาเหตุเพราะปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิภาคอากาศ หรือ Climate Change ทำให้พื้นที่ปลูกกาแฟมีน้อยลง
รายงานจากสถาบันภูมิอากาศในออสเตรเลีย (The Climate Institute of Australia) บอกว่าถ้าหากโลกยังมีปัญหา Climate Change แบบนี้ไปจนถึงปี 2050 พื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกกาแฟได้จะได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวน และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเมล็ดกาแฟได้
และในปี 2080 เมล็ดกาแฟสายพันธุ์ตามธรรมชาติ ที่พอทนต่อสภาพอากาศได้ อาจสูญพันธุ์ไปเลย
ถ้าเกิดวิกฤตขาดแคลนกาแฟขึ้นมา แน่นอนว่ากาแฟดีๆ จะหายากขึ้น กลุ่มผู้ปลูกกาแฟกว่า 25 ล้านคนทั่วโลกก็จะได้รับผลกระทบด้วย ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ผู้ที่ศึกษางานด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่เป็นกังวล เพราะผู้ค้ากาแฟรายใหญ่อย่าง Starbucks และ Lavazza ก็วิตกไม่แพ้กัน
ในโลกของเรามีพื้นที่ปลูกกาแฟได้ดี โดยเฉพาะกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า คือพื้นที่สูงเขตร้อนในแถบอเมริกากลาง บราซิล อินโดนีเซีย เวียดนาม แอฟริกาตะวันออก
แต่ปัญหาอากาศแปรปรวน ไม่ว่าจะฝนตกมากเกินไป หรือแห้งแล้งมากเกินไป จะส่งผลต่อต้นกาแฟอย่างมาก ถ้าฝนมากไปจะทำให้เกิดเชื้อราที่เรียกว่า Coffee Leaf Rust ทำให้ผลผลิตเสียหาย แต่ถ้าแห้งแล้งเกินไป ปริมาณผลผลิตเมล็ดกาแฟที่ได้จะน้อยลงมาก ตัวอย่างคือ บราซิล ดินแดนอู่ข้าวอู่น้ำของกาแฟ ในปี 2014 เจอปัญหาความแล้ง ส่งผลให้เมล็ดกาแฟหายไป 30%
เพียงอุณหภูมิขยับนิดเดียว ก็ส่งผลต่อกาแฟทันที
จากรายงานฉบับเดียวกันนี้ ระบุว่า ถ้าเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิโลกในปี 2050 ให้เพิ่มขึ้นแค่ 1.5-2 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายในข้อตกลงปารีสเรื่องก๊าซเรือนกระจก (Paris Climate Agreement) พื้นที่สำคัญในการปลูกกาแฟจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน โดยพื้นที่ที่ปลูกกาแฟได้จะเหลือเพียงครึ่งเดียวของพื้นที่ในปัจจุบัน
Jim Hanna ผู้อำนวยการงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ Starbucks บอกว่า “ถ้ามัวแต่รอให้ปัญหาเกิด เราจะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งจากมุมมองของเรา เราคิดว่าต้องแก้ปัญหาทันทีและทำแผนเป็นระยะๆ 5 ปี 10 ปี”
นี่คือสิ่งที่ผู้ค้ากาแฟรายใหญ่บอก และไม่ใช่เพิ่งบอก แต่บอกไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
อ้างอิง A coffee shortage is looming — here’s how soon it could be extinct
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา