Big Move! “ชาบูตง ราเมน” ปรับราคาลง 10-15% ให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายขึ้น

เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชาบูตง ราเมนในรอบ 10 ปี เปลี่ยนทั้งแกรนด์เมนู เพิ่มความหลากหลาย ปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงง่าย และปรับราคาลง 10-15% เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น

ถึงเวลาปรับใหญ่ให้ชาบูตงแมสมากขึ้น

ตลาดอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มราเมนที่มีการเติบโตเฉลี่ย 10-15% เป็นประจำทุกปี ในปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาด 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ราเมนระดับพรีเมี่ยมเฮอริเทจมูลค่า 500 ล้านบาท และราเมนระดับแมสมูลค่า 500 ล้านบาท

ตลาดราเมนเองก็มีการแข่งชันสูงมากขึ้น มีทั้งร้านจากญี่ปุ่นมาเปิดที่ไทย ร้านเล็กร้านน้อย ร้านโลคอล ทำให้ชาบูตง ราเมน ที่เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นรายใหญ่ต้องมีการปรับตัวอย่างหนัก เพื่อรับกับตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงไป

ชาบูตง ราเมน ทำตลาดในประเทศไทยเกือบ 10 ปีแล้ว บริหารงานภายใต้บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ CRG ที่ผ่านมาได้วางจุดยืนเป็นราเมนระดับพรีเมี่ยม จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางบน ทำให้มีข้อจำกัดให้การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย

ทำให้ในปีนี้ชาบูตง ราเมนต้องลุกขึ้นมาปรับตัวครั้งใหญ่ทั้งในด้านของภาพลักษณ์ เมนู และราคา โดยมีโจทย์ที่สำคัญคือต้องขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น และกระตุ้นให้ลูกค้ามาทานถี่ขึ้น ในราคาที่สามารถจับต้องได้

ธนพล ธรรพสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เล่าว่า

จากการทำตลาดที่ผ่านมาพบว่า Pain Point สำคัญของชาบูตง ราเมนคือเรื่องราคา แต่เดิมภาพลักษณ์ดูพรีเมี่ยม ทำให้มีแต่ลูกค้าที่มีอายุหน่อย ตอนนี้เราอยากให้ราเมนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ต้องปรับตามเทรนด์ผู้บริโภค มีการปรับภาพลักษณ์ ปรับราคาลง 10-15% เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้ง่ายขึ้น ได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ

จากเดิมลูกค้าของชาบูตง ราเมนเป็นลูกค้าอายุ 25-30 ปี แบรนด์ต้องการขยายไปยังกลุ่มนักเรียน นักศึกษาอายุ 18 ปีขึ้นไปให้มากขึ้น รวมถึงมีการเพิ่มเมนูให้หลากหลายด้วยเช่นกัน   

ความท้าทายในการทำตลาดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำอย่างไรให้คนจ่ายเงินค่าบะหมี่จาก 45 บาท เป็น 200 กว่าบาทให้ได้ ตอนนี้ความท้าทายอยู่ที่ทำอย่างไรให้ราเมนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ดีที่ว่าตลาดเปิด ลูกค้ามีความเข้าใจในราเมนมากขึ้นแล้ว

ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยน ต้องให้ทานถี่ขึ้น

เมื่อพูดถึงโจทย์สำคัญที่ทำให้ชาบูตง ราเมนต้องลุกขึ้นมาปรับตัวใหม่นั้น มาจากปัจจัยหลักๆ ก็คือเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เทรนด์เรื่องการทานอาหาร ต้องทำให้ลูกค้าเข้าร้านได้ถี่ขึ้นโดยที่ไม่ต้องรอโอกาสพิเศษ

เทรนด์ และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น จากปกติจะนิยมทานอาหารแบบร้านแฟมิลี่ที่สั่งอาหารมาทานร่วมกัน ตอนนี้เป็นการกินแบบอาหารจานเดียวก็มี

ภาพลักษณ์ของชาบูตงราเมนคนจะคิดว่าเป็นพรีเมี่ยมต้องรอโอกาสพิเศษถึงจะมาทานได้ เลยอยากปรับภาพลักษณ์ให้เดินผ่านก็ทานได้เลยไม่ต้องรอโอกาสพิเศษ”

การปรับครั้งนี้มีการปรับรูปแบบร้านด้วยเช่นกัน จากเดิมที่มีการตกแต่งร้านเน้นความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมตกแต่งด้วยไม้บรรยากาศขรึมๆ ตอนนี้ต้องปรับให้เป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าอายุเด็กลง

ทดลองไซส์ Compact ขยายให้เร็วขึ้น

ปัจจุบันชาบูตง ราเมนมีสาขารวม 18 สาขา ในปีนี้มีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก 5 สาขา สิ้นปีจะมีทั้งหมด 23 สาขา ยังเน้นในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างจังหวัดอยู่

แต่มีแผนที่จะทดลองโมเดลคอมแพ็คไซส์ หรือไซส์ที่เล็กลง พื้นที่ 100 ตารางเมตรเน้นเมนูอาหารจานด่วนขยายสาขาไปตามคอมมูนิตี้มอลล์สถานศึกษาพื้นที่ที่คนญี่ปุ่นอาศัยอยู่เยอะๆโมเดลนี้จะช่วยทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นเข้าร้านมากขึ้น

สรุป

ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง เพราะคนไทยนิยมอาหารญี่ปุ่นกันมากขึ้น ทำให้การแข่งขันสูงขึ้นเช่นกัน ผู้เล่นต่างๆ มีการปรับตัวเพื่อรับกับการแข่งขัน และเข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคให้ได้ การที่ชาบูตง ราเมนมีการปรับใหญ่ในครั้งนี้ถือเป็นการบุกตลาดครั้งสำคัญ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีการตลาดที่หวือหวามากเท่าที่ควร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา