รู้หรือไม่ว่า “เบตาดีน” อยู่คู่คนไทยมาตั้งแต่ปี 2531 และแทบจะเป็นคำใช้แทนน้ำยาล้างแผลไปแล้ว ซึ่งจากความแข็งแกร่งของชื่อ รวมถึงคุณสมบัติด้านการฆ่าเชื้อโรค ทำให้แบรนด์นี้เตรียมรุกตลาดผลิตภัณฑ์ชำระล้างร่างกายที่มีมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท
ครั้งแรกในตลาดโลกกับผลิตภัณฑ์สบู่
หลายคนคงคุ้นชินกับบรรจุภัณฑ์สีเหลืองที่จะหยิบมาใช้ก็ต่อเมื่อมีแผลเลือดออก และถึงจะมีแบรนด์อื่นๆ เกิดขึ้นมาใหม่ และใช้บรรจุภัณฑ์แบบเดียวกัน ทุกคนก็คงบอกว่ามันเรียกว่า “เบตาดีน” เป็นแน่แท้ แต่จริงๆ แล้วแบรนด์นี้ไม่ได้มีแค่น้ำยาล้างแผล แต่ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์แก้เจ็บคอ และผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อสำหรับผู้หญิงด้วย
รามัน ซิงห์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มุนดิฟาร์มา จำกัด ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมการ และอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงเจ้าของแบรนด์ “เบตาดีน” เล่าให้ฟังว่า เมื่อความแข็งแกร่งของแบรนด์ในประเทศไทยค่อนข้างสูง ประกอบกับมีโรงงานผลิตที่นี่เพื่อส่งไปขายทั่วโลก ดังนั้นการแตกผลิตภัณฑ์ออกมาที่กลุ่มใช้แล้วหมดไป ก็น่าจะทำให้ยอดขายบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนได้
“ทางมุนดิฟาร์มาตัดสินใจมาระยะหนึ่งแล้วว่าจะทำตลาดสบู่เหลวแบรนด์เบตาดีน เพราะคุณสมบัติเรื่องฆ่าเชื้อเราไม่เป็นรองใคร ประกอบกับตลาดนี้ยังไม่มีใครชูจุดเด่นเรื่องลดแบคทีเรีย และไร้สารตกค้างมากนัก ทำให้เป็นโอกาสสำคัญของบริษัท และไทยถือเป็นประเทศแรกที่ทางกลุ่มตัดสินใจจำหน่ายสบู่ เพราะอีกระยะหนึ่งจึงจะทำตลาดผลิตภัณฑ์นี้ทั่วโลก”
ชื่อแบรนด์ไม่ใช่ความท้าทาย แต่คือโอกาส
แม้ตัวชื่อแบรนด์จะดูค่อนข้างเป็นยาปฏิชีวนะ และลบภาพเดิมๆ ได้ยากหากทำตลาดผลิตภัณฑ์ชำระล้างร่างกาย แต่ “มุนดิฟาร์มา” เชื่อว่าตัวชื่อแบรนด์เป็นโอกาสให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในสินค้ามากขึ้น จึงใช้ชื่อสินค้าว่า Betadine Natural Defense ประกอบด้วย 3 สินค้าคือครีมอาบน้ำ, สบู่ล้างมือ และเจลล้างมือ
สำหรับมูลค่าตลาดสบู่ในประเทศไทยอยู่ราว 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มครีมอาบน้ำ 5,800 ล้านบาท และกลุ่มครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพผิวที่เหมือนกับแบรนด์เบตาดีนเป็นนั้นอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท แต่ด้วยมูลค่าตลาดที่ใหญ่กว่าอุปกรณ์ทำความสะอาดแผล ทำให้สินค้ากลุ่มใหม่มีโอกาสทำส่วนแบ่งรายได้ขึ้นมาเทียบเท่าอุปกรณ์ทำความสะอาดแผลที่เป็นรายได้สูงสุดของแบรนด์ได้
ส่วนตลาดอุปกรณ์ทำความสะอาดแผลในปี 2559 มีมูลค่าเพียง 603 ล้านบาท และเติบโต 8% มีผู้นำตลาดคือบมจ.แจ๊กเจียอุตสาหกรรม (ไทย) ที่ทำตลาดแบรนด์ Tensoplast และ Tigerplast ถือส่วนแบ่งอยู่ 52% รองลงมาคือกลุ่ม 3M ที่ถือสัดส่วน 34% เมื่ออ้างอิงข้อมูลจาก Euromonitor
สรุป
การเข้ามาทำตลาดผลิตภัณฑ์ชำระล้างร่างกายของเบตาดีน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่ เพราะตลาดนี้ล้วนมีขาใหญ่อยู่เดิม และพร้อมรับน้องใหม่ด้วยแคมเปญต่างๆ ดังนั้นอาจเป็นการยากที่เบตาดีนจะขึ้นมาติดกลุ่มบนใน 3-5 ปี แต่ทางผู้บริหารยังเชื่อว่าในปีแรกที่ทำตลาดน่าจะมีส่วนแบ่งได้ 10% ในตลาดสบู่เหลว โดยเตรียมทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านเลยด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา