ผู้บริหาร BEAUTY ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการขายหุ้น และอนาคตของบริษัท

หลังจากทางบมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY ได้แจ้งกับทางตลาดหลักทรัพย์ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ สุวิน ไกรภูเบศ และ ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ได้ขายหุ้นของทางบริษัทออกมาให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนถึง 4.66% จนทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่เหลือการถือหุ้นเพียงแค่ 21.23% เท่านั้น เรื่องราวหลังจากนี้เป็นอย่างไรน่าติดตามอย่างยิ่ง

ร้าน Beauty Cottage ของทาง บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (ภาพถ่ายโดยคุณ Aum Bellezza)

ล่าสุดทาง สุวิน ไกรภูเบศ และทีมงานผู้บริหารได้มาตอบข้อสงสัยที่นักลงทุนสงสัยและรวมไปถึงเรื่องของเป้าหมายในอนาคตในงาน SET Opportunity Day ซึ่งการมาออกงานครั้งนี้ของทาง BEAUTY ถือเป็นความท้าทายทีมงานผู้บริหารและรวมไปถึงเรื่องของแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นเองที่สงสัยว่าบริษัทยังโตต่อได้หรือไม่

เป้าหมายยอดขาย 1 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี

สุวิน ไกรภูเบศ ได้กล่าวว่าบริษัทมีความภาคภูมิใจที่บริษัทได้ติด SET50 ยอดขายสิ้นปีที่ผ่านมา 3,750 ล้าน โดยปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางค์ในประเทศไทยมีขนาดประมาณ 180,000 ล้านบาท ฉะนั้น BEAUTY มีส่วนแบ่งตลาดแค่ 2% เท่านั้น ส่วนแผนภายใน 5 ปีคือจะมียอดขาย 10,000 ล้านบาท

ส่วนแผนการของบริษัทยังคงเดิมคือ Multi Brands, Multi Products, Multi Channels แต่เพิ่มช่องทางการขายและรวมไปถึงเจาะลูกค้าใหม่ๆ อย่างเช่น Mid-high แต่ยังคงคุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้าไว้อยู่ และเพิ่มสินค้าประเภทเพื่อสุขภาพมากขึ้น

ส่วนมีคนสงสัยว่าคนยังมองว่าคนทั่วไปมองผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปในด้าน Low-end ทางด้านศิริการย์ พัฑฒิวีระนนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ได้กล่าวว่ามองผลิตภัณฑ์ในด้านราคาจับต้องได้มากกว่า

สุวิน ไกรภูเบศ
สุวิน ไกรภูเบศ

เน้นทำตลาดใหม่ๆ มากขึ้น

พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ซึ่งเป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า จะขยายทั้งหมด 11 ประเทศซึ่งจะขยายเพิ่มไปรัสเซีย และตะวันออกกลางด้วย และรวมไปถึงเรื่องของ Online-Offline อย่างเช่นแคมเปญ ลิปเบอร์ 9 ในตำนาน ซึ่งโด่งดังใน Twitter อย่างมาก

ล่าสุดบริษัทกำลังจะทำ Cross Border E-commerce รายแรกๆ ในประเทศไทย ซึ่งบริษัทจะประกาศในเร็วๆ นี้ ซึ่งดีลนี้ทำในประเทศจีน 2 ราย ซึ่งรายได้ของบริษัทที่ได้จากชาวจีนอยู่ประมาณ 10-15%

ส่วนเรื่องของ BEAUTY ถึงทางตันหรือยัง ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางค์ระดับแสนล้าน ยอดขายยังเป็นสัดส่วนตลาด 2% ถึงแม้ว่าจะไม่เปิดสาขาแบบเชิงรุกเหมือนเดิม แต่สามารถใช้ลูกค้า Online-Offline มาเสริมได้ ซึ่งโมเดลนี้แข็งแกร่งมาก ซึ่งยอดขาย E-commerce ในประเทศไทยถือว่าสดใสมาก ซึ่งในปี 2017 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขาย 154 ล้านบาท

ผู้บริหารขายหุ้น

สุวิน ไกรภูเบศ ได้กล่าวด้วยความมั่นใจว่าตระกูลยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อยุ่ประมาณ 21% และยังบริหารบริษัทอีกเยอะ ยังมีความท้าทายใหม่ๆ อยากให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจ และไม่ไปทำธุรกิจอื่น และยังมีความท้าทายใหม่ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้ว รวมไปถึงอยากให้มองถึงเรื่องสภาพคล่องของหุ้นด้วย เพราะว่าถ้าหากผู้บริหารถือหุ้นเหมือนเดิมที่ระดับ 70% เหมือนตอนที่ IPO ปัจจุบันโครงสร้างผู้ถือหุ้นอาจไม่ได้เป็นแบบนี้ ทางด้านของ พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ มองว่าเหมือนเรือ BEAUTY บรรจุคนได้มากขึ้นเพราะว่าสภาพคล่องมีมากขึ้นกว่าแต่เดิม

สรุป

หลังจากผู้บริหารของทางบริษัทได้ออกมาแถลงในงาน ทางนักวิเคราะห์หลายๆ บริษัทหลักทรัพย์มองว่าในระยะสั้นๆ อาจมีแรงขายหุ้นออกมาเพราะว่ามีความกังวลจากเรื่องของผู้บริหารขายหุ้น แต่ถ้าหากมองในระยะยาวแล้วก็ต้องดูว่าการเจริญเติบโตของรายได้และกำไร รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ จะพาบริษัทไปถึงเป้าหมายหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับทางนักลงทุนล้วนๆ ว่ายังศรัทธาอยู่กับผู้บริหารบริษัทหรือไม่

ที่มาสไลด์จากทางบริษัทที่เผยแพร่ในงาน OppDay, SET OppDay, efinanceThai [1], [2]

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Content Writer ที่สนใจในเรื่องของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม TMT (Technology, Media, Telecom) การควบรวมกิจการ (M&A) นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยทางธุรกิจที่น่าสนใจ