บ้านปูแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารใหม่ เปลี่ยนผ่านสู่ Green Energy เน้นพลังงานสะอาด ใช้ AI เพิ่ม

บ้านปู แต่งตั้ง สินนท์ ว่องกุศลกิจ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) มีผล 2 เมษายน 2567 นี้

การแต่งตั้งสินนท์ ว่องกุศลกิจ ซึ่งอยู่บ้านปูมานานกว่า 10 ปี ทำงานด้านพัฒนาธุรกิจ แผนกลยุทธ์และการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ ดังนั้นช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ ก็เข้ามาดูแลตั้งแต่ต้นๆ เป็นคนดูแลเรื่อง IPO ของ Banpu Power ด้วย และช่วงที่บ้านปู เน็กซ์ ดำเนินการควบรวมธุรกิจ สินนท์ก็เป็นผู้ดำเนินการควบรวม และยังเป็นซีอีโอหลังจากบ้านปู เน็กซ์ก่อตั้งได้สองปี

Banpu บ้านปู

สำหรับกลยุทธ์ในการเปลี่ยนผ่านองค์กรของบ้านปูให้มีความยั่งยืนมากขึ้นนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 คือช่วงปี 2000-ปี 2015 เป็นยุคบูมของพลังงานที่เป็นฟอสซิลอยู่ ตอนนั้นเศรษฐกิจโลกโตมาก ระยะที่ 2 คือช่วงปี 2016-2020 เป็นยุคเปลี่ยนผ่านให้เป็นพลังงาน Greener, Smarter มากขึ้น จากนั้น ระยะที่ 3 คือยุคนี้ ที่ต้องเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสีเขียวให้เร็วขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและยกระดับขีดความสามารถหลักให้หลากหลายเพื่อโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น

ผลประกอบการ

สำหรับผลประกอบการปี 2023 ที่ผ่านมา ทำกำไรสุทธิที่ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,343 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคาอยู่ที่ 1,562 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 54,361 ล้านบาท โดยรักษาระดับหนี้สินไว้ที่ 0.90 งบกำไรขาดทุนเป็นไปตามสภาวะสินทรัพย์ดั้งเดิม งบดุลแข็งแรง

บ้านปู ถือเป็น ESG Company รางวัลที่เคยได้รับมาก็อยู่ในระดับ Top Tier ตลอดมา บ้านปูเปลี่ยนผ่านองค์กรตามทิศทางของโลกและยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งบ้านปูก็ถือเป็นรายแรกในการทำ Carbon Capture, Utilization and Storage หรือกักเก็บคาร์บอนครั้งแรกในไตรมาส 4 ปี 2023 และยังเป็นรายแรกๆ ของอเมริกา ส่วนของไทยยังทำไม่ได้ เนื่องจากในอเมริกามีโอกาสมากกว่า

การกระจายพอร์ตโฟลิโอก็ทำมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว ยังยืนยันว่ามีความแข็งแกร่งทางการเงิน มีการกระจายพอร์ตทั่วภูมิภาค เติบโตตามทิศทางของโลกและเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านในเรื่องของ Digitalization ทำครบหมดทุกอย่าง ซึ่งทางบ้านปูเริ่มต้นทำธุรกิจจากถ่านหิน เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนผ่านก็ลงทุนทั้งเหมืองถ่านหิน โรงไฟฟ้า ไปเป็นทำธุรกิจแก๊ซธรรมชาติ ทำมาเกือบสิบปี ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

ปี 2024

ปัจจุบันมีประเด็นเรื่อง Geopolitical (ภูมิรัฐศาสตร์) ในเรื่องของการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ จะส่งผลต่อราคาพลังงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อัตราดอกเบี้ยระดับสูงจะเป็นไปอีกสักพัก ซึ่งมันส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจ รวมทั้งประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วย (Climate Change) ทั้ง 3 ประเด็น ธุรกิจเหมือง ไฟฟ้า พลังงานสะอาดต้องเข้มแข็ง มีการผลิตที่ต้นทุนต้องไม่สูงและทำแล้วต้องลดต้นทุนได้อีก

ปีนี้ จะมี Initiative ที่จะลดต้นทุนเพิ่ม เพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Operation มากขึ้น และทำ Organic development มากขึ้น หมายถึงว่าอะไรที่มีอยู่แล้ว ทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยไม่ต้องลงเงินเพิ่ม จากนั้นก็คือเรื่องการลดต้นทุน ที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพาากขึ้น โดยบ้านปูมี Roadmap ชัดเจน เช่น ลดต้นทุนขนส่งดิน เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง เริ่มใช้รถ EV เข้ามาใช้ในส่วน Decarbonization ในอินโดนีเซีย ทางจีน-ออสเตรเลีย ก็ให้ commitment ว่าจะลดต้นทุนเพิ่มเติมเช่นกัน

นอกจากนี้ ธุรกิจแก๊สที่สหรัฐอเมริกา ปีที่ผ่านมาเติบโตมากขึ้น รวมทั้งการใช้แก๊สในอเมริกาก็เติบโตด้วย ปีนี้ก็คาดว่าจะเติบโตเหมือนเดิม การใช้แก๊สสำคัญมากทั้งอเมริกาและทั่วโลก ปีก่อนใช้แก๊สมากขึ้น การเก็บแก๊สในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ทำให้ราคาต่ำ ขณะที่ปี 2020 ซัพพลายลง ราคาลง เพราะหน้าหนาวมีอากาศค่อนข้างอุ่น ซึ่งแหล่งที่ผลิตแก๊สในอเมริกา คือ Pennsylvania, Texas ถ้าดู Financial performance ในอนาคตก็เชื่อว่าราคาจะเพิ่มขึ้น

ส่วนธุรกิจถ่านหิน แบ่งเป็นตลาดถ่านหินในพรีเมียมมาร์เก็ตราคาอยู่ที่ 120-150 เหรียญสหรัฐต่อตันเมื่อ Q4 ที่ผ่านมา ตลาดที่มีคุณภาพรองลงมา Q4 ค่อนข้าง Stable มีบาลานซ์ทั้งดีมานด์ ซัพพลายคงที่ ถ่านหินออกจากอินโดนีเซียค่อนข้างเยอะ จีนก็รับถ่านหินมากขึ้น ซึ่งปี 2024 เห็นแนวโน้มที่ตลาดถ่านหินจะเติบโต โดยเฉพาะในตลาดที่คุณภาพรองลงมา พบว่าจีนมีอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวมากขึ้น ลูกค้าหลักๆ ก็คือ จีน อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น

ในส่วนของ Operation ออสเตรเลียผลิตได้ 6.8 ล้านตัน ลดลงจาก 8.7 เกิดจากสภาพธรณีเปลี่ยนแปลงไปจากแผน ส่วนอินโดนีเซียผลิตได้ 16.9 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1% เนื่องจากเตรียมเครื่องจักรพร้อมและสภาพอากาศค่อนข้างแรง ปีนี้จะเตรียมเรื่องเครื่องจักรเพิ่มขึ้น จีนผลิตได้ 11.1 ล้านตัน ถือว่าเสถียร

สำหรับธุรกิจพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน ได้พยายามรักษาประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมั่นคง ซึ่งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงต่อเนื่องและได้รับอานิสงส์จากราคารัฐซื้อไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นด้วย

ปี 2024-2025 จะจบแผนห้าปี

ด้านสินนท์ มองว่าดีมานด์พลังงานจะเพิ่มขึ้นอยู่แล้วและบ้านปูแตกต่างจากคนอื่น เนื่องจากทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทุกประเทศมุ่งเน้นไปทางพลังงานสะอาด แต่ต้องบาลานซ์พลังงานจากแหล่งเดิมด้วย ในเหมืองเราก็เริ่มใช้ AI เพื่อให้ประสิทธิภาพของเหมืองสูงมากขึ้น ประเทศหลักๆ ในอนาคตที่บ้านปูต้องเน้นคือจีน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ซึ่งอินโดนีเซียจะเป็น Top 4 ของจีดีพีโลก

มีรถ EV วิ่งในเหมืองแล้ว 11 คัน สำหรับการลงทุนด้าน Greener Smarter พบว่า ลูกค้าปัจจุบันยังเน้นเรื่องราคา เพื่อทำให้ Green มากขึ้น แต่สำหรับอนาคตน่าจะเป็นทิศทางเดียวกับยุโรป คือรัฐบาลมีการเพิ่ม Incentive ให้ Green มากขึ้นด้วย บ้านปูกำลังจะเข้าสู่ยุคที่ห้า โดยธีมของการลงทุนคือ Towards a New Horizon โดยจะสานต่อเรื่อง Greener, Smarter และมุ่งมั่นที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา