อาลีบาบา (Alibaba) เตรียมสร้าง ดาต้า เซ็นเตอร์ที่เวียดนาม มูลค่าน่าจะเกินกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท
เพื่อเก็บข้อมูลท้องถิ่นตามข้อกำหนดทางกฎหมาย โดยบริษัทเทคยักษ์ใหญ่จากจีนให้ข้อมูลกับ Nikkei Asia ว่า ตอนนี้ได้เช่าพื้นที่สำหรับเซิรฟ์เวอร์คอมพิวเตอร์จากบริษัทโทรคมนาคมของเวียดนามคือ Viettel และ VNPT ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างในการตอบสนองกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมา
ด้าน Google, Amazon และบริษัทอื่นๆ ก็พยายามที่จะต้านแผนของเวียดนามที่จะบังคับให้เก็บข้อมูลภายในประเทศ แต่นโยบายดังกล่าวก็ดำเนินต่อไปจนสิ้นปี โดย Dang Minh Tam หัวหน้าด้าน Solution Architect แห่ง Alibaba Cloud ระบุว่า บริษัทจะใช้บริการวางเซิร์ฟเวอร์ไว้ในดาต้า เซ็นเตอร์ โดยร่วมมือกับริษัทของรัฐทั้งสองแห่งแต่ก็ยังสำรองข้อมูลไว้ทั่วภูมิภาคตั้งแต่ไต้หวันไปจนถึงสิงคโปร์
โดยอาลีบาบาเตรียมจะสร้างดาต้า เซ็นเตอร์ ในเวียดนาม เพื่อตอบสนองประเทศที่มีเศรษฐกิจโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย โดย Tam กล่าวว่า เขายังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับต้นทุนและระยะเวลาสำหรับโครงการนี้ เนื่องจากรายละเอียดยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งต้นทุนสำหรับการสร้างดาต้า เซ็นเตอร์น่าจะเกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.7 หมื่นล้านบาท Tam กล่าวว่า เวียดนามคือประเทศที่มีตลาดศักยภาพสูงมาก ยังมีพื้นที่ให้โตอีกเยอะ
เหตุผลที่ Alibaba ต้องการที่จะทำดาต้า เซ็นเตอร์ที่เวียดนาม ก็น่าจะมาจากความต้องการจะมีเซิร์ฟเวอร์เป็นของตัวเอง เพราะนอกจากต้นทุนที่เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องพิจารณาแล้ว ยังมีเรื่องความปลอดภัยในการควบคุมข้อมูลของตนเองด้วย และการทำสัญญาต้องมีความชัดเจนเพื่อให้รู้ว่าใครที่ต้องรับผิดชอบและแบกรับความเสี่ยงไว้ ทั้งนี้ บริษัท Viettel IDC ก็เป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการโดยทหารหรือกองทัพของเวียดนาม
ทั้ง Alibaba และ Microsoft ต่างก็เรียกร้องให้มีการปรับปรุงด้าน ESG ด้วย และเรียกมันว่า ESGT ด้วยการเพิ่มเรื่องเทคโนโลยีเข้ามา ตัวอย่างเทคโนโลยีสามารถติดตามและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำได้ ซึ่งบริษัท Viettel ก็ไม่ได้ใช้พลังงานหมุนเวียนมากนัก แต่ก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะใช้พลังงานหมุนเวียนในอัตรา 30% ของการบริโภคพลังงานทั้งหมดภายในปี 2030 ซึ่ง Viettel คาดว่า ตลาดดาต้า เซ็นเตอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่าจะขยาย 15% ต่อปีในอนาคตและน่าจะมีบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบามาลงทุนอีก
ที่มา – Nikkei
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา