Future of Work ไม่ใช่อนาคตแต่เกิดขึ้นแล้ว องค์กรอยากอยู่รอดต้องปรับตัวทั้งคน-เทคโนโลยี

คำว่า Future of Work หรืออนาคตของการทำงาน เป็นสิ่งที่เรามักได้ยินในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่สร้างผลกระทบอย่างหนัก องค์กรหรือบริษัทที่ต้องการอยู่รอด ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับการทำงานในโลกแห่งอนาคต

การปรับตัวขององค์กรหรือบริษัทที่เรามักได้ยินกันในยุคนี้ ต้องอาศัยความรวดเร็วเป็นสำคัญ เพราะหากไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ทัน ก็คงไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ที่ปรับตัวเร็วกว่าได้ โดยการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์มีทั้งในเชิงทรัพยากรบุคคล การทำงานที่รวดเร็ว และยืดหยุ่น และการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับการทำงาน

ยุคนี้ “คนทำงาน” ต้องมาก่อน

ในยุคที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งเป็นการทำให้เห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกัน อนาคตของการทำงาน “ทรัพยากรบุคคล” จึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่องค์กรจะต้องให้ความสำคัญ เพราะผลลัพธ์การทำงานที่ได้ จะขึ้นอยู่กับความเป็นอยู่ที่ดีของคนทำงาน ทั้งในเรื่องของสุขภาพกาย จิตใจ และการเงินที่ดีของคนทำงาน

ในช่วงแรกที่โควิด-19 เริ่มระบาด พนักงานหลายๆ คน มีความกังวลความน่ากลัว และการดูแลตัวเองของโรคโควิด-19 บริษัทให้ประเทศสหรัฐอเมริกากว่า 71% เริ่มพิจารณาที่จะให้สวัสดิการที่ขึ้นแก่พนักงาน ซึ่งสามารถช่วยคลายความกังวลให้กับพนักงานได้ ทั้งการให้เงินโบนัสพิเศษตามประสิทธิภาพการทำงาน ของขัวญ และวันหยุดเพิ่มเติมกับพนักงาน

องค์กรยุคใหม่ต้องยืดหยุ่นในการจ้างงาน

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเหมือนการบังคับให้องค์กรต่างๆ จำเป็นที่จะต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอด และสร้างความเติบโตต่อไปได้ในอนาคต ความยืดหยุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เว้นแม้แต่การจ้างงาน ที่จะต้องพิจารณาจากทักษะ และความสามารถ

นอกจากนี้การจ้างงานในรูปแบบใหม่ที่ได้รับความนิยม คือการจ้างงานเป็นรายโปรเจ็ค ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จเป็นสำคัญอันดับแรก เมื่อเสร็จแล้วจึงย้ายไปทำโปรเจ็คใหม่ต่อไป การทำงานเป็นรายโปรเจ็คนี้ทำให้เกิดการจ้างงานแบบตามความต้องการ (On-demand)

จากผลสำรวจการจ้างงานประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า 36% ของการจ้างงานในสหรัฐอเมริกา เป็นการจ้างงานแบบ Freelance และกว่า 43% ของบริษัทต่างๆ พึงพาความช่วยเหลือแบบชั่วคราว

การจ้างงานแบบ Freelance เป็นการสร้างโอกาสการทำงานให้กับคนที่มีความสามารถ และทักษะที่เหมาะสม ได้รับเงินค่าตอบแทนตามความต้องการ นอกจากนี้การจ้างงานยังไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับสถานที่ เพราะอยู่ที่ไหนก็สามารถทำงานได้ (Work anywhere) ขอแค่มีอินเตอร์เน็ต และพื้นที่สำหรับการทำงานก็เพียงพอ

เตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับอนาคต ที่มาถึงตั้งแต่วันนี้

เมื่อพูดถึง Future of work หรือการทำงานในอนาคต ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตั้งแต่วันนี้ การเตรียมองค์กรให้พร้อมด้วยเทคโนโลยีจะเป็นการสร้างความได้เปรียบ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ทีมสามารถทำงานโดยเลือกให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอน

ตัวอย่างของการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับการทำงานอย่างหนึ่ง คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาจัดการกับระบบ Payroll หรือระบบการจ่ายเงินเดือนของพนักงาน ซึ่งเป็นงานที่เป็นกิจวัตร เมื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทน พนักงานที่มีหน้าที่จัดการระบบ Payroll สามารถนำเวลาไปทุ่มเทให้กับงานอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ทักษะ และเวลามากกว่าได้

ในมุมของพนักงานเองก็จะได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน คือ พนักงานสามารถทำเรื่องเบิกเบี้ยเลี้ยง หรือค่าใช้จ่ายของตัวเองได้ตามความต้องการผ่านแอปพลิเคชันที่บริษัทจัดทำไว้ ส่วนในมุมของบริษัทเองก็สามารถเพิ่มความรวดเร็วในการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับพนักงานแบบ Freelance ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันที่มากกว่าได้

ใช้เทคโนโลยีทั้งการคัดคน และการทำงาน

การทำงานในอนาคตหมายถึงการทำงานที่ต้องอาศัยทักษะ และความรู้ในแต่ละด้านที่มากขึ้น คำถามสำคัญคือบริษัทหรือองค์กรจะมีวิธีในการคัดเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาทำงานได้อย่างไร

ที่ผ่านมามีบริษัทจำนวนมากเริ่มใช้เทคโนโลยี AI ในการค้นหาผู้สมัครงานที่มีความเหมาะสม ผ่านทางเว็บไซต์หางานต่างๆ โดยเฉพาะ LinkedIn รวมถึงเคยมีผลการสำรวจด้วยว่า บริษัทกว่า 88% ทั่วโลก มีการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อคัดเลือกหาคนทำงานที่เหมาะสม

เมื่อได้พนักงานที่ตรงกับความต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำงาน ซึ่งในยุคปัจจุบันมีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ การใช้เทคโนโลยีจึงมีความสำคัญในฐานเครื่องมือที่จะช่วยสนับสนุนการทำงานทั้งของคนที่เป็นหัวหน้า และพนักงานคนอื่นๆ ทำให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้

นอกจากนี้เทคโนโลยียังสามารถเข้ามาช่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางธุรกิจ โดยใช้ข้อมูลที่มี ทำให้คนทำงานสามารถให้ความสนใจกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ มากกว่าการทำงานเอกสาร

ที่มา – Business Insider

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา