ในช่วงปกติ กระแสจักรยานยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก คนมักจะมองเป็นทางเลือกสำหรับการออกกำลังกาย แต่หลังจากโควิด-19 ระบาดอย่างหนักหน่วง ชาวอเมริกันเริ่มระแวงและหวาดกลัวการใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เริ่มมองหาวิธีออกกำลังกายโดยไม่ต้องไปยิม ซึ่งก็ไม่ใช่อเมริกาชาติเดียวเท่านั้นที่เริ่มหันมาสนใจจักรยาน
- อังกฤษเตรียมทุ่ม 7.9 หมื่นล้านบาท ให้คนเดินและปั่นจักรยานสะดวก ลดความหนาแน่นขนส่งมวลชน
- ไม่ต้องกลัวติดโควิดจากคนอื่น กระแสปั่นจักรยานกลับมาบูมในอเมริกาครั้งที่สามในรอบ 150 ปี
- ญี่ปุ่นเอาจริง แก้กฎหมายการใช้จักรยานเข้มข้นขึ้น เปิดทางให้คนเลี่ยงใช้รถสาธารณะ
ห้างใหญ่ระดับ Walmart ยังขายจักรยานจนหมดเกลี้ยง รวมถึงร้านรวงต่างๆ ที่ขายจักรยาน ก็มีคนให้ความสนใจจักรยานแบบครอบครัวมากขึ้น คือมีราคาต่ำ ง่ายต่อการขี่ ซึ่ง Jay Townley ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมจักรยานระบุว่า จักรยานขายดีมากในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันในช่วงทศวรรษ 1970 เพราะมันเป็นช่วงที่ผู้คนตระหนก ถ้าเปรียบเทียบกับตอนนี้ ก็เหมือนผู้คนพากันไปซื้อกระดาษชำระเพื่อมากักตุนในช่วงที่เกิดโรคระบาดนั่นแหละ
ยอดความต้องการจักรยานที่เพิ่มขึ้นนี้ ไม่ได้มีแค่ในสหรัฐฯ หรือในอังกฤษที่กำลังยกเครื่องประเทศใหม่เพื่อรองรับการใช้งานการเดินเท้าและจักรยานให้ประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีในมะนิลา ฟิลิปปินส์ ที่มีความต้องการจักรยานมากขึ้น ในอิตาลี รัฐบาลก็มีแผนสนับสนุนให้คนหันมาใช้จักรยานด้วยการช่วยค่าใช้จ่ายราว 500 ยูโร (ราว 17,333 บาท) และทั้งฟิลิปปินส์และอิตาลีต่างก็สร้างเลนจักรยานเพื่อให้คนหันมาปั่นจักรยานมากขึ้น
ขณะนี้ ในสหรัฐฯ ถ้าต้องการจักรยาน จะต้องใช้เวลาสั่งซื้อค่อนข้างนานหลายเดือน เพราะมันขาดตลาดแล้ว เนื่องจากคนอเมริกันกำลังต้องการจักรยานมาก และส่วนใหญ่จักรยานที่ซื้อราว 90% เป็นจักรยานที่นำเข้าจากจีน ซึ่งปิดโรงงานไปในช่วงที่เกิดโควิดระบาด
ความต้องการของคนอเมริกันเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเดือนมีนาคมที่เริ่มมีคำสั่งให้ปิดเมือง ในเดือนเมษายน ยอดขายจักรยานสำหรับผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น 200% จักรยานในสหรัฐฯ ขายได้ทั้งหมด รวมทั้งจักรยานสำหรับเด็กด้วย เรียกว่าถ้าเทียบเป็นอัตราส่วนก็มีความต้องการเพิ่มขึ้น 100% จากปีก่อนหน้า
ก่อนที่โควิด-19 จะระบาดอย่างหนัก อุตสาหกรรมจักรยานในสหรัฐฯ มีมูลค่ามากถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.86 แสนล้านบาท) แต่ก็ถือว่าเป็นมูลค่าที่ต่ำลงเนื่องจากถูกกำแพงภาษีที่โดนัลด์ ทรัมป์ตั้งไว้สำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีนซึ่งมีอัตราภาษีราว 25%
ห้วงยามนี้ กลายเป็นว่าภาวะแห่งความยากลำบากของคนอเมริกันที่ต้องมาทุกข์ร้อนต่อ เพราะกำแพงภาษีที่ทรัมป์ตั้งไว้ต่อสินค้าจีน และดันเป็นสินค้าหลักที่นำเข้ามากถึง 90% ขณะเดียวกัน โควิด-19 ที่กำลังระบาดอย่างหนักก็ไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาลง ความร้อนแรงทั้งการเมืองภายในและภายนอกก็ยังไม่ผ่อนคลาย
ที่มา – VOA, Market Watch
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา