การพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปในทุกๆ ด้าน ทั้งชีวิตส่วนตัว และการทำงาน ซึ่งแต่เดิมการทำงานเพื่อหารายได้มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา
แต่ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตอย่างแยกไม่ได้ สถานที่และเวลาไม่ได้เป็นข้อจำกัดของการทำงานหารายได้อีกต่อไป งานที่มีความยืดหยุ่นจึงกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เป็นวันแรงงาน Grab ได้เปิดเผยสถิติของพาร์ทเนอร์คนขับ และผู้รับส่งอาหาร–พัสดุในประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นงานที่มีความอิสระชนิดหนึ่ง โดยมีความน่าสนใจดังนี้
บริการส่งอาหาร GrabFood ส่งพัสดุ GrabExpress ได้รับความนิยมสูงสุด
สัดส่วนการให้บริการพาร์ทเนอร์ของแกร็บมากกว่า 1 แสนคนทั่วประเทศ ส่วนใหญ่แล้วจะให้บริการจัดส่งอาหาร (GrabFood) และส่งพัสดุ (GrabExpress) มากที่สุดเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน กว่า 77% ตามมาด้วยพาร์ทเนอร์ที่ให้บริการแกร็บคาร์ (GrabCar) แกร็บแท็กซี่ (GrabTaxi) แกร็บไบค์ และบริการแกร็บไดรฟ์ยัวร์คาร์ (GrabDriveYourCar) อีก 23%
ส่วนชนิดของยานพาหนะที่พาร์ทเนอร์ของแกร็บใช้ ส่วนใหญ่ใช้รถมอเตอร์ไซค์กว่า 64% ตามมาด้วยรถยนต์ 35% ส่วนอีก 1% ที่เหลือไม่ได้ใช้ยานพาหนะชนิดใดเลย แต่ใช้การเดินเพื่อบริการ แกร็บฟู้ด วอล์ค (GrabFood Walk) ในพื้นที่ใกล้ๆ แทน
เจน Y และเพศชาย พาร์ทเนอร์ส่วนใหญ่ของแกร็บ
หากแบ่งพาร์ทเนอร์ของแกร็บตามช่วงวัยต่างๆ จะพบว่า พาร์ทเนอร์ของแกร็บส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเจน Y เป็นหลัก ด้วยสัดส่วน 48.5% ตามมาด้วยคนเจน X คิดเป็น 26% คนเจน Z คิดเป็นสัดส่วน 24% ส่วนคนในช่วง Baby Boom มีสัดส่วนเพียง 1.5% เท่านั้น และจากสถิติพาร์ทเนอร์ของแกร็บที่มีอายุมากที่สุด คือ 83 ปี
ส่วนเพศของพาร์ทเนอร์ของแกร็บ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพศชาย 86% ส่วนอีก 14% เป็นผู้หญิง ซึ่งแม้ในปัจจุบันพาร์ทเนอร์ของแกร็บที่เป็นผู้หญิงจะมีสัดส่วนน้อยกว่าเพศชายมาก แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
พาร์ทเนอร์ของแกร็บ ทำงานหารายได้แบบ Part Time
ลักษณะการทำงานของพาร์ทเนอร์ของแกร็บส่วนใหญ่เป็นการทำงานแบบ Part Time คือ น้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 71% แต่ก็ยังมีพาร์ทเนอร์ของแกร็บที่เลือกหารายได้จากแกร็บเป็นหลัก โดยทำงานแบบเต็มเวลา (Full Time) มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันขึ้นไปอีก 29%
เริ่มเป็นพาร์ทเนอร์ของแกร็บ ในช่วงวิกฤตโควิด-19
ระยะเวลาที่พาร์ทเนอร์ร่วมงานกับแกร็บ ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในกลุ่มที่ร่วมงานกับแกร็บมา 1-3 ปี คิดเป็นสัดส่วน 26.5% ร่วมงานกับแกร็บมา 6 เดือน ถึง 1 ปี 19% กลุ่มที่ร่วมงานกับแกร็บมา 5 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นพาร์ทเนอร์ในยุคแรกๆ อีก 2.5%
แต่กลุ่มที่มากที่สุด คือพาร์ทเนอร์ของแกร็บ ที่ร่วมงานกับแกร็บในช่วงเวลาไม่ถึง 6 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุด กว่า 44% ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งในช่วงเวลานี้มีผู้ที่ได้รับผลกระจบจากการที่บริษัทต่างๆ ปลดพนักงาน รวมถึงลดเงินเดือนจำนวนมาก การเป็นพาร์ทเนอร์ของแกร็บจึงกลายเป็นอีกทางออกหนึ่ง ที่จะช่วยหารายได้เสริม
จังหวัดใหญ่ในภูมิภาค คือฐานที่มั่นของแกร็บ
ในปัจจุบันแกร็บให้บริการใน 26 จังหวัดทั่วประเทศ แต่จังหวัดที่มีพาร์ทเนอร์ของแกร็บให้บริการอยู่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น และนครราชสีมา ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 5 จังหวัดนี้เป็นจังหวัดใหญ่ที่มีความสำคัญในภูมิภาค รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกด้วย
ที่มา – Grab
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา