วางเงินให้ถูกที่ | BI Opinion

วางเงินต่างที่ให้ผลที่แตกต่างกันได้จริงๆ

สมมุติถ้าคุณลงทุน 100 บาทตลาดหุ้นไทยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จนถึงสิ้นปี 2562 เงินของคุณจะพอกพูนเป็น 102 บาท เทียบกับถ้าคุณเอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น Nasdaq ในสหรัฐฯ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว จนถึงสิ้นปี 2562 เงินคุณจะพอกพูนเป็น 163 บาท และถ้าคุณถอยไปดูกราฟดัชนี NASDAQ Composite ระยะยาวจะเห็นว่า มันเป็นกราฟที่มีทิศทางสูงขึ้นตลอดทาง ในขณะที่ของดัชนีหุ้นบ้านเราจะแป๊กไม่ไปไหนกันมา 5-6 ปีแล้ว ดังนั้นพอเห็นตัวเลขและทิศทางแบบนี้แล้วทำให้รู้สึกว่าถ้าเรายังคงโฟกัสที่การลงทุนแต่ในประเทศอย่างเดียว ต้องตั้งคำถามแล้วว่ามันยังเป็นการวางเงินไว้ถูกที่หรือเปล่า

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 .. 2563 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.00% เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิมไว้ที่ 2.8% จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ความล่าช้าของ ... งบประมาณรายจ่ายประจำปี และภัยแล้ง การท่องเที่ยวที่ลดลงและการส่งออกที่ลดลง อุปสงค์การใช้จ่ายลดลง สัญญาณนี้ตอกย้ำว่าสภาวะเศรษฐกิจบ้านเราตอนนี้ยากที่จะหาการเติบโตแบบสูงๆ ได้

ดังนั้นแนวโน้มสภาวะการลงทุนตลาดหลักทรัพย์บ้านเราน่าจะยังท้าทายต่อไปอีกปีราคาหุ้นก็ยังคงจะผันผวนอีกต่อไปเพราะขาดเจ้ามือที่แท้จริงซึ่งก็คือผลประกอบการที่ควรต้องเติบโตอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้เราจะหลบเลี่ยงโดยวางเงินออมไว้ในรูปเงินฝากหรือตราสารหนี้ก็อาจได้รับผลตอบแทนต่ำตามภาวะดอกเบี้ยที่ลดลง

ภาพจาก Shutterstock

แต่ถ้าลองเหลือบตาไปดูหุ้นชั้นนำ (ระดับโลก) ในต่างประเทศกลับพบว่ามีมูลค่าไม่ได้แพงเกินไปโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นลักษณะเดียวกันในเมืองไทย และไม่ต้องใช้สูตรค้นหาหุ้นอะไรยากๆ หรอกครับ ใช้หลักการง่ายๆ ว่า ลงทุนในสิ่งที่คุณบริโภค เพราะแสดงว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของกิจการนั้นย่อมเป็นสิ่งที่คุณจ่ายเงินให้เขาอยู่แล้วและรู้จักมันดีพอว่าคุณยังคงบริโภคเขาอยู่หรือเปล่า ซึ่งคงต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราใช้จ่ายเงินบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้มักจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทชั้นนำของโลกที่มีนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีและความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับโลกเหล่านี้แหละครับ

ถ้ากลับมามองว่าแล้วจะลงทุนในหุ้นอะไรดีที่เกาะกระแสเหล่านี้ได้ เช่น เราเห็นไอโฟนรุ่นใหม่เปิดตัวขายกันโครมๆ หากเลือกหุ้นไทยเราอาจลงทุนได้เพียงในหุ้นค้าปลีกซึ่งขายโทรศัพท์มือถือซึ่งหุ้นเหล่านี้ซื้อขายในเมืองไทยกันที่อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรย้อนหลังในอดีต (Price/Earnings, P/E) ที่ 29 เท่า แต่ถ้าเราไปลงทุนซื้อหุ้น Apple ที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรงในอเมริกาเองอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรย้อนหลังในอดีตตกอยู่ที่ 22 เท่าซึ่งต่ำกว่าหุ้นในเมืองไทยเสียอีก หรือคุณขายของซื้อโฆษณาใน Facebook เป็นประจำ หุ้น Facebook ซื้อขายที่ P/E 16.8 เท่า หรือหุ้น Microsoft ที่เราใช้วินโดวส์แอปพลิเคชันเขากันอยู่ทุกวันตอนนี้ก็มีอัตราส่วน P/E ที่ 31 เท่าเช่นกันแถมราคาย้อนหลัง 3 ปีก็ขึ้นมาเกือบ 3 เท่าอร๊ากกก

ภาพจาก Shutterstock

เรามักมีความเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแต่หลายปีที่ผ่านมานี้พบว่าการเลือกตลาดหุ้นที่จะลงทุนก็อาจให้ผลที่แตกต่างกันได้ ทุกคนล้วนมีความหวังกับตลาดหุ้นไทยโดยพยายามหาหุ้นที่พื้นฐานแข็งแกร่งและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแต่หุ้นชั้นดีแบบนี้ก็หาได้ยากขึ้นทุกวันแถมจังหวะลงทุนก็ยากขึ้นเพราะปัจจัยภายนอกภายในรุมเร้า

เมื่อก่อนเราอาจดูตลาดหุ้นต่างประเทศเพียงเพื่อเป็นตัวชี้นำสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแต่ตอนนี้เราสามารถลงทุนกันได้จริงโดยผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่เปิดให้บริการได้แล้ว การแบ่งเงินกระจายไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศจึงเป็นอีกทางเลือกให้เงินของเราวางในที่ที่อาจทำให้เงินงอกเงยได้ในระยะยาวได้ ลองหาข้อมูลเพื่อที่จะทำให้ท่านมีความมั่นใจในการลงทุนและพิจารณาทางเลือกใหม่ของการลงทุนเพื่อวางเงินให้ถูกที่

เพราะสุดท้ายแล้วมันอาจส่งผลที่แตกต่างต่อเงินออมและอนาคตของเราได้เลยครับ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา