ศึก Video Streaming ในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่แค่ศึกของค่าบริการอีกต่อไป แต่ขณะเดียวกันช่องทางการโฆษณาแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็จะกลายเป็นพื้นที่ช่วงชิงความได้เปรียบเช่นกัน
Wall Street Journal ได้รายงานว่า Disney ได้เตรียมที่จะแบนโฆษณาบริการวิดีโอสตรีมมิ่งของคู่แข่งไม่ว่าจะเป็น Netflix หรือเจ้าอื่นๆ ผ่านเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น ABC จนไปถึงช่อง National Geographic ยกเว้นเพียงแค่ช่องกีฬาอย่าง ESPN เท่านั้นที่สามารถให้คู่แข่งลงโฆษณาได้
- ซีอีโอ Netflix บอก สงครามสตรีมมิ่งที่แท้จริง จะเริ่มต้นขึ้นในปลายปีนี้
- สตรีมมิ่งจาก NBCUniversal จะใช้ชื่อ “Peacock” รายนี้มาแปลก จะมีโฆษณาบนแพลตฟอร์ม
- ศึกสตรีมมิ่งเดือด เมื่อ Apple TV+ ประกาศราคาถูกกว่า Disney+ แถมมีโปรให้ดูฟรี 1 ปี
โฆษกของ Disney ได้กล่าวกับ CNBC ว่า ทางบริษัทได้เริ่มพิจารณาแผนกลยุทธ์เรื่องการลงโฆษณาผ่านเครือข่ายทีวีของบริษัทอีกครั้ง จะเห็นว่าหลายๆ บริษัทเริ่มมีกลยุทธ์เข้าหาลูกค้าโดยตรงเพิ่มมากขึ้น และการโฆษณาผ่านโทรทัศน์ก็เป็นอีกช่องทางที่สำคัญ
ผลกระทบดังกล่าวนี้จะทำให้ Netflix เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบรายแรกๆ โดย 9 เดือนแรกของปี Netflix ได้ลงโฆษณากับเครื่อข่ายโทรทัศน์ของ Disney เป็นมูลค่าประมาณ 5.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และในช่วงที่ผ่านมานั้น Netflix ได้เพิ่มงบประมาณโฆษณาขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2018 นั้นบริษัทใช้งบโฆษณาไปถึง 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสัดส่วนในการลงโฆษณาผ่านโทรทัศน์ของ Netflix มากถึง 38%
ไม่เพียงแค่ Netflix ที่จะได้รับผลกระทบ แต่หลังจากนี้วิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบนี้ด้วย เช่น Apple+ ที่หลังจาก Bob Iger ได้ลาออกจากบอร์ดบริหารของ Apple ก็จะได้รับผลกระทบนี้ รวมไปถึง Amazon Prime Video หรือแม้แต่ HBO Max ฯลฯ
ขณะเดียวกัน Disney ยังได้พิจารณาเงื่อนไขโฆษณากับ Amazon ใน Application ต่างๆ ของ Disney ใหม่อีกด้วย เนื่องจาก Amazon ก็มีแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเป็นของตัวเองเช่นกัน ซึ่งแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งของ Disney กำลังจะเปิดตัวในเดือนหน้านี้เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่มีโฆษณาและมีราคาเพียงแค่ 6.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือนเท่านั้น
การที่ Disney ได้ออกเงื่อนไขห้ามคู่แข่งโฆษณาบริการวิดีโอสตรีมมิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ Disney ก็อาจโดนคู่แข่งรายอื่นๆ ห้ามโฆษณาบนแพลตฟอร์มตัวเองเช่นเดียวกัน และคู่แข่งที่ออกมาให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งต่างก็มีเครือข่ายโทรทัศน์ของตัวเอง เช่น Warner Media ก็เป็นเจ้าของช่อง HBO TNT หรือแม้แต่ CNN ขณะที่ Comcast ก็เป็นเจ้าของเครือข่ายช่อง Universal และ NBC เป็นต้น
ที่มา – CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา