ถ้าพูดถึงแบรนด์ “สามมิตร” คนทั่วไปอาจรู้จักแค่แบรนด์หลังคารถกระบะ หรือถ้าอยู่ในวงการยานยนต์ก็อาจรู้ว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ แต่ตอนนี้ “สามมิตร” ไม่ได้เป็นแค่นั้น เพราะกำลังก้าวสู่แบรนด์ Logistic Solution

จากแค่ชิ้นส่วนรถบรรทุก สู่ทุกอย่างของการขนส่ง
เดิมที “สามมิตร” หรือบริษัทสามมิตรมอเตอร์สนั้นทำธุรกิจผู้ผลิตแหนบของรถยนต์รายแรกของไทยตั้งแต่ปี 2502 ก่อนขยับขึ้นมาเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์ และรถบรรทุก จนกลายเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของไทยในปัจจุบัน แต่การจะอยู่แค่ธุรกิจเดิมเพียงธุรกิจเดียวในยุคนี้ก็คงไม่ได้
ทำให้ “สามมิตร” ตัดสินใจรวมบริษัทต่างๆ มาอยู่ภายใต้บริษัทใหม่ที่ชื่อว่า “สามมิตร กรุ๊ปโฮลดิ้ง” เพื่อทำให้ทุกธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งธุรกิจรถบรรทุก-รถพ่วง, ธุรกิจอะไหล่, ธุรกิจรับจ้างผลิต, ธุรกิจพลังงานสีเขียว, ธุรกิจรถกระบะดัดแปลง และอื่นๆ แถมสร้าง SSM Digital Platform ขึ้นมาเชื่อมต่อด้วย

ยงยุทธ โพธิ์ศิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามมิตร กรุ๊ปโฮลดิ้ง จำกัด เล่าให้ฟังว่า การวางโครงสร้างธุรกิจใหม่นั้นเป็นการรวม 22 บริษัทย่อยเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มเดียวกัน พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยยกระดับแต่ละธุรกิจ เพื่อเดินหน้าแผนผู้ให้บริการ Logistic Solution อย่างยั่งยืน
โอกาสยังเปิดกว้างทั้งไทย และในต่างประเทศ
“เราตั้งโฮลดิ้งมา 2 ปีแล้ว และเห็นสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย เพราะทุกบริษัทต่างช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนในอดีต ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวผ่านปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งใน และต่างประเทศ ทำให้การเลือกเดินกลยุทธ์นี้น่าจะทำให้บริษัทสามารถมีรายได้ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2567 ได้”

สำหรับในไทยนั้น “สามมิตร” เป็นผู้นำในตลาดรถบรรทุก-รถพ่วง รวมถึงผู้ผลิตอะไหล่รถรูปแบบดังกล่าวเช่นกัน ยิ่งหลังจากนี้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงเป็นอีกโอกาสในการสร้างยอดขายเติบโตในกลุ่มสินค้านี้ ประกอบกับตัวธุรกิจพลังงานทางเลือกที่ยังเป็นที่นิยมของคนไทยก็เป็นอีกโอกาสสำคัญของบริษัท
ขณะเดียวกันในต่างประเทศนั้น ในกลุ่มประเทศโดยรอบไทย หรือ CLMV ก็ยังมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน ทำให้บริษัทจะเร่งเข้าไปทำตลาดด้วย ประกอบกับการขยายโรงงานในต่างประเทศที่ฟิลิปปินส์เพิ่มอีกหนึ่งแห่งในปี 2563 จากที่มีในจีน 2 แห่ง และอินโดนิเซีย 1 แห่ง ก็เพิ่มความแข็งแกร่งในการทำตลาดต่างประเทศเช่นกัน

เทคโนโลยี และนวัตกรรมคืออีกอาวุธสำคัญ
“ปีนี้เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 7,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% แต่ส่วนที่แตกต่างจากปีก่อนมากๆ คือรายได้ที่มาจากต่างประเทศ เพราะในปี 2561 มันมีรายได้จากต่างประเทศแค่ 8% ถือว่าน้อยมาก ดังนั้นการขยายโรงงานในต่างประเทศ รวมถึง 11 โรงงานที่แข็งแกร่งในไทยก็น่าจะช่วยเราเติบโตได้เยอะ”
ทั้งนี้ “สามมิตร” มีการลงทุนวิจัย และพัฒนาสินค้า รวมถึงบริการใหม่ๆ เป็นสัดส่วน 2% ของรายได้มาโดยตลอด และจุดนี้เองคืออีกอาวุธหลักของยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทยหลังจากนี้ เพราะทางกลุ่มได้สร้างแพลตฟอร์มกลางเพื่อเชื่อมต่อรถบรรทุก พร้อมกับวิเคราะห์การขับขี่จนทำให้การขนส่งนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด

อย่างไรก็ตามถึงจะมีนวัตกรรมใหม่เข้ามา ตัวสัดส่วนรายได้ของ “สามมิตร” ยังมาจากธุรกิจรถบรรทุก และอะไหล่ชิ้นส่วนรถยนต์เป็นหลัก หรือ 70% ของทั้งหมด ดังนั้นคงต้องจับตาดูต่อไปว่า “สามมิตร” จะปรับตัวเองได้เร็วแค่ไหน และพร้อมเป็น Logistic Solution เต็มรูปแบบในตลาดโลกได้หรือไม่
สรุป
ก่อนหน้านี้ “สามมิตร” เคยจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น จึงเชื่อว่าตัวเงินทุนหลังจากนี้น่าจะขับเคลื่อนธุรกิจได้อีกไกล ยิ่งมีอาวุธทางเทคโนโลยี ประกอบกับการเตรียมรุกธุรกิจรถเช่าสำหรับทัวร์จีนก็ยิ่งเป็นอีกส่วนสำคัญที่ “สามมิตร” จะสร้างความครบท้วนในโลกธุรกิจขนส่ง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา