นิวยอร์กกำลังจะเป็นเมืองแรกของสหรัฐอเมริกาที่แก้ไขปัญหารถติดด้วยการเก็บค่าเข้าพื้นที่ใจกลางเมืองด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล มีผลบังคับใช้ในปี 2021 เป็นต้นไป
นิวยอร์กเตรียมแก้ปัญหารถติดในกลางเมืองด้วยการเก็บค่าเข้าพื้นที่ใจกลางเมืองด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล คาดว่าในแต่ละปีจะสามารถเก็บรายได้ประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเม็ดเงินเหล่านี้จะนำไปเพิ่มประสิทธิภาพของบริการขนส่งสาธารณะในกรุงนิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็น รถไฟใต้ดิน รถเมล์ ฯลฯ โดยจะเริ่มบังคับหลังจากการติดตั้งระบบนี้แล้วเสร็จในปี 2021
ราคาในการการเก็บค่าเข้าพื้นที่ใจกลางเมืองด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลนั้นจะเก็บเพียงแค่วันละ 1 ครั้งเท่านั้น ส่วนราคาจะแปรผันตามพื้นที่ว่ามีรถติดมากแค่ไหน ถ้าหากเป็นเวลากลางคืนหรือวันหยุดราคาก็จะลดลงไป โดยนิวยอกร์กเป็นเมืองแรกในสหรัฐอเมริกาที่เริ่มบังคับใช้การเก็บค่าเข้าพื้นที่ใจกลางเมือง ขณะที่เมืองอื่นๆ ในสหรัฐฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องนี้
แนวความคิดที่จะเก็บค่าเข้าใจกลางเมืองนั้นเริ่มต้นในปี 2008 โดยนายกเทศมนตรี Michael Bloomberg เพื่อที่จะแก้ไขปัญหารถติดอย่างหนัก และเพิ่มความเร็วบนท้องถนนโดยเฉพาะพื้นที่บริเวณแมนฮัตตันที่รถติดมาก และรวมไปถึงรถเคลื่อนตัวได้ช้า แต่ท้ายที่สุดนโยบายนี้ก็โดนปัดตกลงไป
ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัย Quinnipiac ซึ่งได้สำรวจประชากรในนิวยอร์กเมื่อปีที่แล้วพบว่ามีผู้ต่อต้านนโยบายนี้ถึง 44% แต่ล่าสุด Siena Research Institute ได้จัดทำผลสำรวจนี้อีกครั้งหนึ่งพบว่าผู้ต่อต้านนโยบายนี้ลดลงมาเหลือเพียงแค่ 39% แล้ว ขณะที่ผู้สนับสนุนนโยบายนี้มีมากถึง 52%
การเก็บค่าเข้าพื้นที่ใจกลางเมืองด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลนั้นมีหลายเมืองใหญ่ในโลกได้ทำแล้วพบว่าประสบความสำเร็จเนื่องจากทำให้คนหันไปใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น ลอนดอน ที่เม็ดเงินดังกล่าวนำไปอุดหนุนการสร้างรถไฟใต้ดิน หรือแม้แต่เมืองอย่าง สิงคโปร์ และรวมไปถึงสต็อกโฮล์ม ก็ต่างใช้นโยบายนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีนโยบายอื่นๆ ที่เตรียมนำมาบังคับใช้ เช่น นโยบายห้ามใช้ถุงพลาสติก คาดว่าจะลดการใช้ถุงพลาสติกได้ถึงปีละ 71,000 ตัน
ที่มา – Quarz, New York Post
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา