ปี 2018 เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงการตลาดรถบิ๊กไบค์ในประเทศไทย เมื่อหัวเรือใหญ่คนเก่าของ Ducati ประเทศไทย ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล ได้เปลี่ยนเก้าอี้เข้าไปรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของเรนาสโซ มอเตอร์ ซึ่งเป็นดีลเลอร์เพียงรายเดียวในไทยของลัมโบร์กินี
วันนี้ Ducati ได้หัวเรือใหญ่คนใหม่แล้ว นั่นคือ “สมรรถ รอบบรรเจิด” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท ดูคาทิสติ จำกัด หรือ ดูคาติไทยแลนด์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา
- ณ วันที่สัมภาษณ์ เรียกได้ว่าเขานั่งเก้าอี้ของ Ducati มาเกือบ 3 เดือนแล้ว คำถามที่หลายคนอยากรู้มีมากมาย ทั้งอะไรคือความท้าทาย และอะไรคือก้าวต่อไปของ Ducati ประเทศไทย Brand Inside ชวนคุยและรวบรวมมาให้อ่านในบทสัมภาษณ์นี้แล้ว
ความท้าทายจาก Royal Enfield สู่ Ducati
ก่อนที่ “สมรรถ รอบบรรเจิด” จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ Ducati ประเทศไทย เขาสั่งสมประสบการณ์มาจากธุรกิจรถยนต์หรูแบรนด์ Volkswagen จากนั้นได้มานั่งบริหารงานที่ Royal Enfield ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของแบรน์รถเตอร์ไซค์หรูคลาสสิกสัญชาติอังกฤษ และล่าสุดคือการมานั่งเป็นกรรมการผู้จัดการของ Ducati ประเทศไทย เรียกได้ว่าเส้นทางการทำงานสัมพันธ์กับอุตสาหกรรมรถยนต์-มอเตอร์ไซค์ที่เป็นแบรนด์หรูทั้งสิ้น
เมื่อถามว่าอะไรคือความท้าทายจากการโยกย้ายจากแบรนด์ Royal Enfield มาสู่การนั่งแท่นหัวเรือใหญ่ของแบรนด์ Ducati เพราะแม้ว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์หรูเหมือนกัน แต่ต้องยอมรับว่าทั้งเอกลักษณ์ สไตล์ และอีกหลายอย่างย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน
- “ถ้าถามผมว่าอะไรคือความท้าทาย ก็ต้องบอกว่ามีตั้งแต่ตัวสินค้า คาแร็กเตอร์ แบรนด์ดิ้ง ไปจนถึงตัวของลูกค้าที่ผมต้องทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด ผมพบว่าลูกค้าของ Ducati มีความเข้มข้นสูงมากในแง่ของรายละเอียดในตัวสินค้า คือลูกค้าของเรามีความเข้าใจในตัวสินค้าสูงมาก ตรงนี้หมายรวมถึงประสบการณ์ต่างๆ ด้วย นี่คือสิ่งที่ Ducati โดดเด่นเป็นอย่างมาก”
ภาพรวมตลาดบิ๊กไบค์ในไทย และภาพรวมของ Ducati ในปี 2018
“ผมคิดว่าตลาดบิ๊กไบค์ในไทยค่อนข้างทรงตัว คือนับตั้งแต่ปี 2017 ต่อมาในปี 2018 ตลาดค่อนข้างจะอยู่ตัว”
ตลาดบิ๊กไบค์ 500cc ขึ้นไปถือเป็นตลาดพรีเมี่ยมนิชที่วงจรของของตลาดจะขึ้นๆ ลงๆ เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึง Ducati สมรรถบอกว่า “ความโดดเด่นของแบรนด์ Ducati อยู่ที่การสร้างความภาคภูมิใจให้กับลูกค้า ซึ่งส่วนนี้ยังคงเหนียวแน่นอย่างมาก”
ภาพรวมของ Ducati ในปี 2018 ที่ผ่านมาถือว่าดี เนื่องจากกระแสหลายอย่างในระดับโลกมีส่วนกระตุ้นอย่างมาก เช่นในระดับโลกมีกระแสของ World Superbike ที่ทำให้ตลาดบิ๊กไบค์คึกคักมากขึ้น และที่สำคัญอีกเรื่องคือการสื่อสารเรื่องบิ๊กไบค์ในยุคปัจจุบันที่กว้างขวางมากกว่าในอดีตถือว่ามีส่วนอย่างมาก
- “ในอดีตสื่อที่นำเสนอเรื่องของตลาดบิ๊กไบค์ยังมีค่อนข้างจำกัด แต่ในปัจจุบันมีผู้เล่นเยอะมาก หลายคนเข้ามาทำคอนเทนต์เปรียบเทียบกันทั้งเรื่องของรุ่น ราคา ไปจนถึงนักแข่งที่นำรถรุ่นนี้-รุ่นนั้นไปใช้ ทำให้การรับรู้ของผู้คนในตลาดคึกคักและสนุก เป็นผลดีกับยอดขายของแบรนด์”
ก้าวต่อไปของ Ducati ทำการตลาดอย่างไรในปี 2019
ถ้าพูดถึงการทำตลาด Ducati ยังคง DNA ของแบรนด์ไว้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะการเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้าและความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อแบรนด์ แต่สำหรับปี 2019 สมรรถบอกว่า “จะทำการตลาดที่เน้นไปที่การดึงจุดเด่นของสินค้า นั่นคือประสิทธิภาพของตัวรถ (Performance) ในขณะเดียวกันเราจะตอกย้ำเรื่องประสบการณ์ของลูกค้าให้สูงขึ้นไปด้วยไลฟ์สไตล์และการตอกย้ำตัวตน (Identity) ของผู้ใช้งาน”
กิจกรรมของ Ducati ในปีนี้จะมีตั้งแต่การรวมกลุ่มของกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่นไปทำการอบรมที่ประเทศอิตาลี เพื่อลูกค้าเข้าใจและมีทักษะเชิงลึกกับตัวสินค้าอย่างลึกซึ้ง นอกจากนั้นเมื่อผ่านหลักสูตรจะมีการให้ใบรับรองด้วย ส่วนในอีกด้านหนึ่งกิจกรรมที่ Ducati มีอยู่แล้วเพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง เช่น พาไปร่วมคอนเสิร์ต ทำกิจกรรมโกคาร์ท หรือกีฬาเอ็กซ์ตรีม
แต่ถ้าถามว่าอะไรที่จะเป็นเซอร์ไพร์สของปี 2019 ก็ต้องบอกว่า “เราอาจจะมีการไปจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่เหมือนของเดิมแบบที่เราทำมา ต้องรอติดตาม เพราะตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
- “อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงทั้ง Performance ของสินค้าไปจนถึง Lifestyle และเข้าใจใน Identity ของตัวลูกค้า นี่คือคีย์เวิร์ดสำคัญ”
จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ จาก Ducati ในงานมอเตอร์โชว์ปี 2019 บ้าง
ในปีนี้ไฮท์ไลท์ที่เด็ดที่สุดของ Ducati คือการเปิดตัว Panigale V4R ในงานมอเตอร์โชว์ 2019 นอกจากนั้น Ducati ยังได้เปิดตัวรถอีก 2 รุ่นคือ Diavel 1260 และ Multistrada 950 MY 2019
- “ไฮท์ไล์ของเราในปีนี้แน่นอนก็คือ Panigale V4R นี่คือที่สุดแห่งรถจักรยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีในสนามแข่ง MotoGP ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 998 ซีซี ตามข้อกำหนดของการแข่งขัน World Superbike ที่มีแรงม้าสูงขึ้นถึง 221 แรงม้า มีรอบเครื่องยนต์ 15,250 รอบต่อนาที สูงกว่า V4 ตัวปกติ 2,250 รอบต่อนาที โดยเปิดราคาอยู่ที่ 2,990,000 บาท”
สรุป
ไม่ว่าจะตัวสินค้าหรือการทำการตลาดของ Ducati ยังคงความเป็น DNA ของแบรนด์อย่างเต็มเปี่ยม เพราะเน้นไปที่ตัวสินค้าเป็นหลัก นอกจากนั้นก็เน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ผ่านไลฟ์สไตล์เพื่อตอกย้ำความเป็นตัวตนของแบรนด์
ในส่วนยอดขายด้วยความเป็นพรีเมี่ยมนิช ตลาดขึ้นๆ ลงๆ ถือเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างปกติ แต่สิ่งสำคัญที่ Ducati ประเทศไทยเน้นย้ำเมื่อเป็นแบรนด์พรีเมี่ยม การสร้างประสบการณ์ผ่านสินค้า และการสร้างกิจกรรมที่เน้นย้ำตัวตนของลูกค้าผู้ใช้งานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเอาเข้าจริงแล้ว หัวใจของการเป็นเจ้าของ Ducati ไม่ใช่แค่สินค้าเท่านั้น หากแต่มันคือความภาคภูมิใจในตัวแบรนด์นั่นเอง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา