สถานการณ์อีคอมเมิร์ซอินเดีย ธุรกิจที่ไม่ง่ายเมื่อเจ้าแพลตฟอร์มเริ่มลดราคาไม่ไหวแล้ว

ตลาดอีคอมเมิร์ซอินเดีย เป็นอีกตลาดที่เกิดการแข่งขันอย่างดุเดือด ทั้งจากเว็บอีคอมเมิร์ซในประเทศอย่าง Flipkart, Snapdeal และจากยักษ์ใหญ่ระดับโลก Amazon India เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจออนไลน์ในประเทศที่มีประชากรเยอะและกำลังเติบโต

แต่การฟาดฟันกันด้วยสงครามราคา การทุ่มตลาดด้วยส่วนลดมากมาย เริ่มส่งผลในด้านกลับ และสุดท้ายแล้ว หนทางที่ต้องเลือกของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในอินเดีย ระหว่างลดราคาแล้วบาดเจ็บบ้าง กับได้กำไรมากหน่อยแต่ก็ค่อยๆ เจ๊งไป

เริ่มไม่แตกต่าง เมื่อร้านค้าออฟไลน์-ออนไลน์ ตั้งราคาเท่ากัน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Abhishek Bajai นักการตลาดชาวอินเดียคนหนึ่งตัดสินใจจะซื้อตู้เย็น เขาสำรวจราคาสินค้าจากแหล่งช็อปปิ้งออนไลน์ยอดนิยมอย่าง Flipkart (ผู้เล่นอันดับหนึ่ง) และ Amazon India (ผู้เล่นอันดับสอง) จากนั้นเขาก็เช็คราคาสินค้าจากร้านค้าปลีกก่อนสั่งซื้อออนไลน์

สิ่งที่เขาพบคือถ้าสั่งซื้อจากร้านค้าปลีกที่ห่างจากบ้านเพียง 100 เมตร ตู้เย็นจะมาส่งถึงบ้านภายในเวลา 2 ชั่วโมง แต่ถ้าสั่งซื้อออนไลน์ อย่างน้อยเขาจะได้รับสินค้าภายใน 2 วัน ทำไมเขาต้องรอถึง 2 วัน ในเมื่อราคามันเหมือนกัน?

ตลาดออนไลน์กำลังจะสูญเสียผลประโยชน์ ถ้าลูกค้าพบว่าสั่งซื้อออนไลน์แล้วไม่ได้อะไรที่เหนือกว่า

แน่นอนว่า Bajai ไม่ใช่ลูกค้ารายแรกที่ทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ห่วงว่ามันจะเป็นเรื่องเสียเวลาที่เขาจะเช็คราคา ทั้งจากโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์ เพื่อควานหาราคาที่พวกเขาพึงพอใจที่สุด

Flipkart เริ่มทำแคมเปญการันตีคุณภาพสินค้า+ส่งฟรี
Flipkart เริ่มทำแคมเปญการันตีคุณภาพสินค้า+ส่งฟรี

อีคอมเมิร์ซเริ่มลดราคาสินค้าน้อยลง

ยกตัวอย่างจากสินค้ายอดฮิตในอินเดียคือสมาร์ทโฟน นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ยอดขายมือถือทางออนไลน์กลับลดลง เหตุผลหลักเป็นเพราะร้านขายมือถือผ่านออนไลน์ “ลดราคา” สินค้าให้น้อยลงจากเดิม

การลดราคาด้วยคูปอง หรือ การซื้อสินค้าแล้วได้เงินคืนแบบ cash-backs มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดึงดูดนักช็อปออนไลน์มาโดยตลอด ในปี 2015 ที่ผ่านมา Goldman Sachs รายงานว่าบริษัทอีคอมเมิร์ซของอินเดียใช้จ่ายกับการลดราคานี้ถึง 30 %

Amazon India อีกหนึ่งเว็บที่ Amazon ทุ่มสุดตัวปั้นให้เกิดให้ได้
Amazon India อีกหนึ่งเว็บที่ Amazon ทุ่มสุดตัวปั้นให้เกิดให้ได้

ในขณะที่การจัดอีเวนท์ที่ถือเป็นมหกรรมการลดราคาขนาดใหญ่ของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ เช่น Big Billion Day (BBD) ของ Flipkart, Great India Sale ของ Amazon และ Online Shopping Festival ของ Google มีการลดราคาอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งลดราคาสูงมากถึง 80% โดยเมื่อปี 2014 Flipkart สามาถขายสินค้าจากช่วง BBD สูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในเวลาเพียง 10 ชั่วโมง

“เว็บไซต์ที่ทำอีคอมเมิร์ซจะต้องมีราคาสินค้าที่ถูกกว่าราคาห้างในโลกออฟไลน์เสมอ โดยเฉพาะสินค้าที่มีขนาดใหญ่” Harish HV หุ้นส่วนจากบริษัทที่ปรึกษาจาก Gran Thornton India กล่าวไว้

เส้นทางการเติบโตของ Flipkart เว็บอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของอินเดีย
เส้นทางการเติบโตของ Flipkart เว็บอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของอินเดีย

นักลงทุนกดดัน ต้องการเห็นกำไร การลดราคาดึงลูกค้าเกิดไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว

ลูกค้าอีคอมเมิร์ซในอินเดียอย่างน้อย 10 รายบอกกับ Quartz ว่า พวกเขาจะกลับไปซื้อสินค้าจากร้านค้าแถวบ้าน ถ้าพบว่าราคาสินค้าออนไลน์ไม่ได้ถูกกว่า

ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ของอินเดียกำลังเผชิญสภาวะกดดันจากนักลงทุนที่เริ่มกดดันให้ธุรกิจต้องมีกำไร ตัวอย่างคือ Flipkart ที่ระดมทุนรอบใหม่และตัวบริษัทมีมูลค่าลดลงจากการลงทุนรอบก่อน

สิ่งที่นักลงทุนทำคือบีบให้เว็บอีคอมเมิร์ซเหล่านี้ต้องลดต้นทุน การเพิ่มยอดกำไร ขณะที่ยอดขายจากการลดราคาก็มีอัตราลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ (เพราะงบประมาณในการทำตลาดจากการลดราคามีน้อยลง) ผู้บริโภคในอินเดียเองก็เริ่มบ่นว่าเทศกาลลดราคาครั้งใหญ่ในวันชาติอินเดียช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไม่มีอะไรน่าซื้อเหมือนอย่างเคย

Snapdeal เว็บคู่แข่งอีกรายของ Flipkart
Snapdeal เว็บคู่แข่งอีกรายของ Flipkart

มิหนำซ้ำ รัฐบาลอินเดียยังเพิ่งออกนโยบายใหม่สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอีกว่า ให้ตลาดออนไลน์เป็นเพียงแพลตฟอร์มหนึ่งสำหรับการขายสินค้าระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น แต่จะไม่ให้มีการแทรกแซงราคาใดๆ โดยเจ้าของแพลตฟอร์มเกิดขึ้น

ทางเลือกสำหรับธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในอินเดียตอนนี้คือจะเลือกอะไร ระหว่างการกระหน่ำลดราคาแต่บาดเจ็บ นองเลือด กับมีผลกำไร แต่ค่อยๆ ตายไป คำตอบไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ที่มา – Quartz

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา