ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์นั้นเปลี่ยนแปลงเร็วมากในตอนนี้ และใครที่ตามความต้องการผู้บริโภคไม่ทันก็ย่อมทำกำไรไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ Ford ที่ยอมประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าเตรียมเลิกรถเก๋งในตลาดอเมริกาเหนือแล้ว
เมื่อไม่มีคนต้องการ ก็ไม่ขายน่าจะดีกว่า
ธุรกิจของ Ford ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาเรียกว่ามีแต่ทรงกับทรุด เพราะอัตรากำไรนั้นลดลงโดยตลอด หลังความไม่สำเร็จในหลายตลาด เช่นในประเทศจีนก็ไม่สามารถแย่งชิงตลาดรถ Sedan หรือรถเก๋งได้ รวมถึงตลาดอเมริกาเหนือตัว Sedan ก็ไม่จูงใจผู้บริโภคที่นั่น เพราะโดยพื้นเพของคนอเมริกาต้องการรถใหญ่ๆ ซึ่ง SUV กับกระบะนั้นตรงใจกว่า
จึงไม่แปลกที่ล่าสุด Ford จะประกาศลดจำนวนการขายรถ Sedan ในตลาดอเมริกาเหนือเหลือเพียง 2 รุ่นเท่านั้น ประกอบด้วยรถสปอร์ตเก่าแก่อย่าง Mustang กับ Focus Active รถ Compact Crossover ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2561 เพื่อจะเน้นทำตลาดรถ SUV กับรถกระบะอย่างเต็มรูปแบบที่นั่น
Jim Hackett ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Ford ยอมรับว่า บริษัทอยู่ระหว่างปรับกลุยทธ์การบริหารจัดการ และอาจออกจากบางธุรกิจที่ไม่ทำกำไร จึงเตรียมลดต้นทุนกว่า 25,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากแค่ 14,000 ล้านดอลลาร์ที่ประกาศไปเมื่อไตรมาสที่แล้ว
ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน
“เราจะปรับโครงสร้างตามความจำเป็นของมัน และเราตั้งใจที่จะทำแบบนี้เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับธุรกิจของเรา เพราะถ้ายังคงสิ่งไม่ดีเอาไว้ มันก็คงเป็นเนื้อร้ายของธุรกิจ นั้นก็คือการทำให้เกิดผลกำไรไม่ได้นั่นเอง ดังนั้นทั้งหมดนี้ทำให้เร็วขึ้นเพื่อเดินหน้าธุรกิจต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ”
ก่อนหน้านี้ในเดือนมี.ค. ผู้บริหารของ Ford ได้เปิดเผยถึงแผนการปรับรูปแบบธุรกิจจากรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เป็นรถยนต์แบบ SUV เพื่อดิ้นรนให้บริษัทอยู่รอดในตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน รวมถึงยังเลือกทำตลาดเครื่องยนต์ Hybrid และรถยนต์ไฟฟ้า 100% มากกว่าเดิม เพื่อกลับมาเพิ่มอัตรากำไรให้กับบริษัทเช่นกัน
ขณะเดียวกัน Ford ต้องการ Turn Around ธุรกิจในทุกภูมิภาคที่ทำตลาด เพื่อกลับมามีผลกำไร และเติบโตอย่างยั่งยืนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรุ่นใหม่ๆ ในประเทศจีนเพื่อเพิ่มยอดขาย รวมถึงในกลุ่มประเทศยุโรปก็เตรียมทำวิธีเดียวกันนี้ด้วย
สรุป
เรียกว่าเป็นอีกก้าวสำคัญในธุรกิจของ Ford ที่ต้องการอยู่รอดในอุตสาหกรรมรถยนต์ และรักษาหนึ่งในธุรกิจที่เก่าแก่ที่สุดของอุตสาหกรรมนี้เอาไว้ให้ได้ ทำให้ในอนาคตเราอาจเห็นการหยุดขายรถกลุ่มที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดในภูมิภาคอื่นๆ ก็เป็นได้
อ้างอิง // Reuters
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา